วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อสรพิษยักษ์แห่งท้องทะเล

และยังมีสัตว์ทะเลอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งยังไม่เคยทิ้งซากศพเอาไว้ให้มนุษย์ได้เห็น นั่นก็คืออสรพิษทะเลยักษ์ ไม่มีทั้งครีบหนังหรือว่าเกล็ด ไม่มีครีบหัวครีบท้ายเราแทบจะไม่มีหลักฐานอะไร เกี่ยวกับตัวของมันเลยนอกจากคำบอกเล่าจากปากของพยาน ซึ่งจะว่าไปแล้วก็มีจำนวนนับพันคน ไล่ไปตั้งแต่คนธรรมดา ชาวประมงผู้มีประสบการณ์ นักธรรมชาติวิทยา หรือแม้กระทั่งนักสมุทรศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญ บางครั้งอสรพิษทะเลยักษ์ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายตา

ของพยานนับร้อยคนในเวลาเดียวกัน น่าเสียดายที่ไม่มีใครถ่ายรูปของมันเอาไว้ได้ แต่จากรายงานของพยานจำนวนมาก ซึ่งมีรายละเอียดที่ชัดเจน แน่นอน เหมือนกัน และไม่บิดเบือน ทำให้นักวิทยาศาสตร์พอจะเชื่อได้ว่า อสรพิษทะเลยักษ์ น่าจะมีอยู่อย่างน้อย 3-4 สายพันธุ์ อาศัยอยู่ในทะเลบนโลกของเรา

ย้อนหลังไปยังเรื่องราวแต่ครั้งโบราณ มีออกบ่อยไปที่นักวิชาการพบคำบรรยายถึง สัตว์ประหลาดที่มีหลังเป็นหนอก มีหัวที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาหลายฟุต มีแผงคอ และมีดวงตาที่ใหญ่โตเอามากๆ เรื่องราวเหล่านี้มีเล่าขานกันมาในหมู่ชนชาวกรีก ไล่มาถึงแสกนดิเนเวีย ผ่านยุคกลางจนกระทั่งถึงสมัยปัจจุบัน ในปี 1848 มีข่าวการรายงานอย่างครึกโครมจากหนังสือ The Timeอีส อินดีส์ โทรเลขจากกัปตัน ปีเตอร์ แม็คไกวส์

"ถ้ามันเป็นสิ่งที่ผมคุ้นเคย ผมต้องจำทถกส่วนของมันได้ด้วยตาเปล่า มันว่ายไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยไม่ได้หันเหเส้นทางเลย มันใช้ความเร็ว 12-15 ไมล์ต่อชั่วโมง และดูเหมือนจะมีทิศทางหรือเป้าหมายในการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน""มันไม่ได้ดำลงน้ำเลยตลอดเวลาที่อยู่ในสายตาเรา" ทว่ากัปตันของเรือรบส่วนพระองค์มีขนาดบรรทุกปืนใหญ่ของเรือถึง 18 กระบอก ชื่อเดดาลัส เขาได้รายงานให้ท่านลอร์ดผู้หนึ่งแห่งกระทรวงกองทัพเรืออังกฤษได้ทราบว่า เขาได้เห็นงูทะเลในระหว่างเดินทางไปยัง เล่าว่า เขาได้เห็นสัตว์ประหลาดนี้ในระยะที่ใกล้มากเป็นเวลา 20 นาที ความรวดเร็วเป็นลักษณะพิเศษของสัตว์ชนิดนี้ รายละเอียดอื่นที่ได้จากแม็คไกวส์ก็คือ มีหัวเหมือนงูขนาดใหญ่ที่ยื่นอยู่เหนือน้ำประมาณ 1.2 เมตร มีบางอย่างคล้ายแผงคอม้าระอยู่ที่ด้านหลังของมัน ขาดที่คำนวณอย่างคร่าวๆก็ปาเข้าไปแล้วตั้ง 18 เมตร นับว่าใหญ่โตไม่ใช่เลยใช่ไหมครับ? (กัปตัน ปีเตอร์ แม็คไกวส์ พูด)
งูทะเลถือเป็นเรื่องราวเก่าแก่ของสหรัฐเช่นเดียวกัน นับตั้งแต่ปี 1817 มันปรากฏตัวทุกฤดูร้อน นอกชายฝั่งทางตะวันออกแถบนาฮานท์ มันมีหัวกลมรูปไข่ยาวประมาณ 60 เซ็นติเมตร ตามด้วยส่วนที่โป่งนูนราว 7-8 แห่ง แต่ละแห่งยาวประมาณ 1.8 เมตร เป็นคลื่นตามกันมาคล้ายหนอนตัวหนึ่ง ความโด่งดังของเจ้างูทะเลนี้ จึงทำให้ เบอร์นาร์ด ฮิวเวลแบนส์ รวบรวมรายงานการพบเห็นมันได้มากกว่า 500 ครั้งในช่วง 150 ปีที่ผ่านมา แต่รายงานที่น่าหลงใหลที่สุด เป็นรายงานสมัยใหม่ใกล้เคียงกับปัจจุบัน ในยุครุ่งอรุณแห่งการบุกเบิกท้องทะเลสมัยใหม่ ในปี 1959 ชายชาวสก็อตซ์สองคนได้เห็นมันนอกฝั่งที่เกาะโซอี คนหนึ่งชื่อ เท็กซ์ แกดเดส เขาเคยเป็นลูกเรือให้กับนักธรรมชาติวิทยา อีกคนเป็นนายตรวจธรรมชาติวิทยาที่มาพักร้อนชื่อ เจมส์ กาวิน พวกเขาพากันกปลาแม็คคาเรลอยู่นอกชายฝั่งในวันที่มีอากาศดี พวกเขาเพิ่งจะเห็นปลาวาฬเพชนฆาตบางตัวและปลาฉลามบาสกิน แล้วกาวินก็สังเกตเห็นรูปร่างหนึ่งที่มีสีดำ อยู่ห่างออกไปราวสองไมล์ ซึ่งแก็ดเดสได้บอกเล่าในภายหลังว่า

"สิ่งนั้นว่ายตรงมาที่เรา เราจึงลุกขึ้นยืนเพื่อดูให้ชัดขึ้น ผมจำไม่ได้ว่าใกล้แค่ไหนตอนที่ผมได้ยินเสียงหายใจของมัน แต่ผมก็แน่ใจว่าเราได้ยินมันก่อนที่จะรู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นมันมีชีวิต มันทำความเร็วได้ไม่มากเลย ผมกลัวว่าเรากำลังจ้องเสู่ความมหัศจรรย์เมื่อสิ่งนั้นว่ายตรงเข้ามาหาเรา เพราะไอ้เจ้าตัวที่กำลังว่ายเข้ามาหาเราอย่างช้าๆนั้น มันเหมือนอสูรจากนรกยุคก่อนประวัติศาสตร์ไม่มีผิด"

"หัวของมันเหมือนสัตว์เลื้อยคลานสูงประมาณ 76 เซ็นติเมตร ดวงตาถลนออกมา ไม่มีส่วนจมูกให้เห็น แต่มีรอยแยกสีแดงขนาดใหญ่ของปากซึ่งดูเหมือนจะตัดกับหัวของมันออกครึ่งพอดี และปรากฏว่ามีลิ้นที่มีลักษณะพิเศษ เราคิดว่าเห็นส่วนหลังคอของมันยาวประมาณ 2.5-3 เมตรลงไปใต้ผิวน้ำ"

ครับ เจ้าสัตว์ลึกลับตัวนั้นพิจารณาชายทั้งสองคนพร้อมเรือบดอย่างใจเย็น เคราะห์ดีที่มันไม่ทำอะไรชายทั้งสอง เลยทำให้ำพวกเขารอดกลับมาเล่าเรื่องราวพิลึกพิลั่นของตัวมันให้สาธารณชนรับทราบได้ พยานทั้งสองรายกล่าวเสริมในตอนท้ายว่า "หัวของมันดูทู่และดำกว่าส่วนอื่นๆของร่ายกายซึ่งดูเหมือนจะเป็นเกล็ด และส่วนบนของหลังมีครีบเหมือนใบเลื่อยขนาดมหึมาตั้งอยู่บนสันหลัง ดูมันจะหายใจทางปากซึ่งเปิดและปิดด้วยความสม่ำเสมอ และครั้งหนึ่งเมื่อมันหันมาเราก็มองเห็นคอหอยเป็นรูแดงๆ แต่มองไม่เห็นฟันเลย..."


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น