วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เผยเทปลับเมืองบนดวงจันทร์ จากโครงการ apollo 20


โครงการ apollo หลายคนคิดว่ามีไม่ถึง apollo 20 (เพราะออกข่าวถึงแค่โครงการ apollo17)
แต่ทางรัฐบาลได้ปิดบังความลับไว้ ว่า โครงการ Apollo 20 คือโครงการที่ รัฐบาล
ได้เจาะจงเข้าสำรวจเมืองบนดวงจันทร์ และปกปิดโครงการนี้ไว้
ตอนนี้หลายๆภาพ หลายๆ video ได้ทยอยๆหลุดออกมาแล้ว แน่นอน ตอนนี้ยังมีการส่ง จรวจออกไปสำรวจแบบไม่มีข่าวด้วย เทปนี้ดังมากถึงขนาด ต่างประเทศได้ทำรายการทีวีจับผิดมาแล้ว

ภาพ ที่เห็น ใน เทป น่าจะเป็น เมือง ที่ตั้งอยู่บน ดวงจันทร์ด้านมืด


วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บันยิพ (Bunyip) สัตว์ประหลาดแห่งแดนจิงโจ้



ผมพาไปรู้จักกับสัตว์ประหลาดกันมาก็หลายชนิด หลายตัวแล้วอ่ะนะครับ ข้อมูลมากบ้างน้อยบ้าง ก็อย่าว่ากันล่ะครับ พอดีวันนี้สบโอกาสพาไปทัวร์แถวออสเตรเลียกันดูบ้าง มาฟังเรื่องเล่าที่เป็นตำนานเกี่ยวกับเจ้าสัตว์ประหลาดที่มีชื่อเรียกกันว่า บันยิพ (Bunyip) กันดูบ้างก็น่าจะไม่เลวเท่าไหร่นะ หรือคุณๆ ว่าไงครับ ?

สำหรับเรื่องสัตว์ประหลาดหรือเจ้าตัวประหลาดนี้นั้นก็เป็นตำนานหรือเรื่องเล่าที่ยังคงกล่าวขาน และมีรายงานการกันต่อมาจนถึงทุกวันนี้ของชาวเผ่าพื้นเมืองอะบอริจินส์ของออสเตรเลียโน่นแน่ะครับ (ปัจจุบันนี้ก็ยังมีผู้ที่อ้างว่าได้พบเห็นหรือมีประสบการณ์เกี่ยวกับบันยิพอยู่เลยครับ) โดยตามเรื่องตำนานได้เล่ากล่าวเอาไว้ว่าบันยิพเนี่ยเป็นจิตวิญญาณที่สิงสถิตอยู่ในแม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง ทะเลสาบ พอนานวันเข้าเลยกลายมาเป็นสัตว์ประหลาดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาไปโน่นล่ะครับ หรือหากจะบอกว่าเป็นวิญญาณผู้เฝ้าผืนน้ำก็เห็นจะเป็นได้อยู่เหมือนกัน ตามตำนานแล้ว... บันยิพก็เหมือนสัตว์ประหลาดแทบจะทั่วทุกมุมโลกล่ะครับคือค่อนข้างจะขี้โมโหไปเสียหน่อย มีพฤติกรรมหรือการกระทำที่เรียกได้ว่าดุร้ายเอาการทีเดียว ถ้าหากมีผู้ใดหรือใครบุกรุกหรือล่วงล้ำถิ่นที่อยู่ของมันแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ชนิดใดก็ตาม เบาะๆ ก็โดนทำร้ายครับ แต่ถ้าแย่หน่อยก็จะโดนมันพาลากเอาลงน้ำไปเลยทีเดียว เรียกได้ว่าถ้าแหยมมาล่ะพ่อลากลงน้ำแน่ อะไรประมาณนั้นเลย แล้วไม่ใช่ลากลงน้ำไปนั่งดูเฉยๆ นะครับ บันยิพนี่ยังกินคนหรือเหยื่อที่มันจับลงน้ำไปอีกด้วย........ก็ว่ากันไปนั่นละครับ ^_^



ไม่ใช่แต่เพียงชาวพื้นเมืองที่มีเรื่องเล่าขานถึงเรื่องของบันยิพเท่านั้นนะครับ พวกคนขาวที่ไปตั้งรกรากทีหลังอยู่ที่นั่นก็มีประสบการณ์ที่เกี่ยวกับเจ้าบันยิพนี่อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าลักษณะของรายละเอียดจะแตกต่างกันออกไปเท่านั้นเองแต่ก็เล่าขานกันเป็นในแนวสัตว์ประหลาดที่เฝ้าหนองบึง ผืนน้ำอยู่นั่นเอง...

เอ้า ฝอยมาซะนาน ลืมเล่ารูปพรรณสัณฐานของบันยิพซะได้ -_- ก็....มาว่ากันถึงรูปร่างของมันแล้วกัน เรื่องรูปร่างของบันยิพนี่ก็น่าปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่ใช่ย่อยครับ เพราะมันแปลกจริงๆ .......คือ มี 4 ขา และแต่ละขามี 3 เล็บ ขนาดลำตัวใหญ่ ที่ตัวด้านหน้ามีเกล็ดปกคลุมไปจนถึงครึ่งของหลังและแผ่นหลังก็ปกคลุมด้วยขนไปตลอดจนถึงหาง หน้าตาออกจะคล้ายสุนัข แต่บ้างก็ว่าเหมือนหมูครับ หุ หุ และก็มีหางคล้ายตัวบีเวอร์ ขนาดความยาวตลอดตัวราว 10-12 ฟุต (ดูรูปประกอบแล้วกันครับ สะดวกดี) แต่บางตำนานก็กล่าวว่าบันยิพนี่รูปร่างจะออกไปทางไดโนเสาร์หรือสัตว์เลื้อยคลานมากกว่าครับ แต่ก็นั่นแหละครับ ลักษณะของบันยิพก็มีแตกต่างกันออกไปอีกหลายแบบครับ ตามตำนานของแต่ละเผ่าชนพื้นเมืองอีกเหมือนกัน

รายงานการพบเห็นบันยิพนั้นไล่มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1800 แน่ะครับ หลายสถานที่ หลายแห่งในออสเตรเลีย แต่ปีที่มีการรายงานเกี่ยวกับบันยิพมากที่สุดก็เห็นจะเป็นในช่วงปี ค.ศ. 1820-1845 ครับ เรียกได้ว่ายุคทองของเรื่องบันยิพเลยทีเดียว และในช่วงปี ค.ศ.1800 นั้นเคยมีรายงานการพบซากกระดูกสัตว์ขนาดใหญ่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนครับที่ เมืองกีลอง(Geelong) รัฐวิคตอเรีย (Victoria) ของออสเตรเลีย โดยรูปร่างกระดูกจะคล้ายกับฮิปโปโปเตมัส แต่แน่นอนครับว่าพอพิสูจน์แล้วไม่ใช่ ก็เลยมีการสันนิษฐานกันไปว่ามันอาจจะเป็นซากกระดูกของบันยิพก็ได้ ว่ากันไปนั่นเลยทีเดียวเชียว และต่อมาเมื่อปี ค.ศ.1845 ก็มีการขุดค้นพบโครงกระดูกสัตว์ยักษ์ปริศนาอีกเช่นกันครับ ซึ่งลักษณะของกระดูกที่ขุดพบครั้งนี้นั้นรูปร่างคล้ายกับจระเข้ผสมกับนก อะฮ่า งงละซิครับ ผมก็งง หุ หุ เอายังงี้ครับถ้านึกไม่ออก ก็ลองนึกถึงรูปร่างของโครงกระดูกจระเข้ขณะยืน 2 ขาและตัวพองๆ แบบนกดู นั่นละครับใช่เลย ซึ่งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของกีลองได้เคยลงเรื่องและรูปวาดของบันยิพเอาไว้และเอามาตีพิมพ์ใหม่ใน ค.ศ.1991 ที่ช่วงเรื่องของบันยิพกลับมาฮือฮาอีกครั้งนึง แต่คราวนี้ทางหนังสือพิมพ์ได้ให้ความเห็นว่ามันคือไดโนเสาร์ปากเป็ด (Duck-Billed Dinosaur) แทนครับ แต่ข้อมูลสรุปของโครงกระดูกที่มีคนเชื่อมากที่สุดก็เห็นจะเป็นว่ามันคือกระดูกของสัตว์ที่เคยมีอยู่จริงในสมัยก่อนครับ แล้วมันตัวอะไรล่ะ ? อีกประเดี๋ยวจะเฉลยครับ


โด่งดังถึงขนาดมีแสตมป์บันยิพด้วยแน่ะครับ


 
บางคนก็เชื่อว่าเรื่องเล่าของบันยิพเนี่ยเหลวไหล เป็นเพียงเรื่องเล่าในจินตนาการ เป็นเพียงเรื่องเล่ารอบกองไฟที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นหรือจากนิทานก่อนนอนเท่านั้นครับ สัตว์ประหลาดที่เล่าๆ กันมาน่ะ ไม่มีตัวตนจริงหรอก นิทานก็เป็นนิทาน ตำนานก็เป็นตำนาน จะเป็นเรื่องจริงไปได้ยังไง เพราะยังไม่เคยมีใครจับตัวมันได้หรือมีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจนเลย เจ้าตัวที่เล่าต่อกันมาน่ะ บางทีอาจจะเป็นแค่จระเข้น้ำเค็มตัวใหญ่หรือไม่ก็แค่ฮิปโปโปเตมัสเท่านั้นเอง อะไรประมาณนั้นละครับ......แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านกลับเชื่อว่ามันเคยมีตัวตนอยู่จริง เพียงแต่ไม่ใช่สัตว์ประหลาดอะไรที่ไหนแต่มันน่าจะเป็นตัว ดิพโพรโทดอน (Diprotodon) หรือสัตว์ที่อยู่ในตระกูลจิงโจ้ขนาดใหญ่ที่เคยมีชีวิตอยู่จริงในออสเตรเลีย ในสมัยบรรพกาลเมื่อประมาณ 20,000 กว่าปีมาแล้วน่ะครับ

Diprotodon

แต่ปัจจุบันจะสูญพันธ์ไปแล้วหรือเปล่า อันนี้ก็ไม่อาจทราบได้ครับ ซึ่งถ้าดูจากรูปเปรียบเทียบกันแล้วบันยิพกับดิพโพรโทดอนเนี่ยจะว่าไปมันก็คล้ายกันเอาการอยู่นะครับซึ่งเจ้าดิพโพรโทดอนนี่อาจจะมีชีวิตเหลือรอดมาจนถึงทุกยุค 80 ในตอนนั้นเลยทำให้กลายมาเป็นต้นตำนานของสัตว์ประหลาดบันยิพในตอนนี้ หรืออาจจะรอดมาจนถึงทุกวันนี้ และหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งก็อาจเป็นได้ครับ หรือไม่ก็บันยิพอาจจะไม่มีอยู่จริงเป็นเพียงเรื่องเล่าที่ตกทอดต่อกันมา หรืออาจจะมีอยู่จริงๆ แต่เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งนอกระบบความรู้ที่เรายังไม่ค้นพบก็อาจจะเป็นไปได้อยู่อีกเหมือนกันครับ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนนั้น มันก็เป็นเสน่ห์ที่น่าค้นหาอยู่เหมือนกันครับ

ฟู่......ที่เล่ามานี้ก็พอที่จะทำให้พอรู้จักกับบันยิพ หนึ่งในตำนานสัตว์ประหลาดของโลกเราใบนี้กันมากขึ้นอ่ะนะครับ ถูกใจไม่ถูกใจยังไงก็บอกกันได้ แต่ถ้าข้อมูลตกหล่นขาดหายไปหรือน้อยไปยังไงก็ต้องขออภัยด้วยครับ อย่างที่บอกอยู่เสมอละครับว่าอ่านเพื่อความบันเทิงครับ จะมีจริงหรือไม่นั้น เราอย่าไปซีเรียสดีกว่า ใช่มั๊ยครับ ^^ ก็คงจะมีเท่านี้ครับสำหรับบทความเรื่องเล่าชิ้นนี้ ไว้เจอกันใหม่ครับผม ^^.......









The Enigma: อสรพิษยักษ์แห่งท้องทะเล

The Enigma: อสรพิษยักษ์แห่งท้องทะเล: และยังมีสัตว์ทะเลอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งยังไม่เคยทิ้งซากศพเอาไว้ให้มนุษย์ได้เห็น นั่นก็คืออสรพิษทะเลยักษ์ ไม่มีทั้งครีบหนังหรือว่าเกล็ด ไม่มีครีบห...

อสรพิษยักษ์แห่งท้องทะเล

และยังมีสัตว์ทะเลอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งยังไม่เคยทิ้งซากศพเอาไว้ให้มนุษย์ได้เห็น นั่นก็คืออสรพิษทะเลยักษ์ ไม่มีทั้งครีบหนังหรือว่าเกล็ด ไม่มีครีบหัวครีบท้ายเราแทบจะไม่มีหลักฐานอะไร เกี่ยวกับตัวของมันเลยนอกจากคำบอกเล่าจากปากของพยาน ซึ่งจะว่าไปแล้วก็มีจำนวนนับพันคน ไล่ไปตั้งแต่คนธรรมดา ชาวประมงผู้มีประสบการณ์ นักธรรมชาติวิทยา หรือแม้กระทั่งนักสมุทรศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญ บางครั้งอสรพิษทะเลยักษ์ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายตา

ของพยานนับร้อยคนในเวลาเดียวกัน น่าเสียดายที่ไม่มีใครถ่ายรูปของมันเอาไว้ได้ แต่จากรายงานของพยานจำนวนมาก ซึ่งมีรายละเอียดที่ชัดเจน แน่นอน เหมือนกัน และไม่บิดเบือน ทำให้นักวิทยาศาสตร์พอจะเชื่อได้ว่า อสรพิษทะเลยักษ์ น่าจะมีอยู่อย่างน้อย 3-4 สายพันธุ์ อาศัยอยู่ในทะเลบนโลกของเรา

ย้อนหลังไปยังเรื่องราวแต่ครั้งโบราณ มีออกบ่อยไปที่นักวิชาการพบคำบรรยายถึง สัตว์ประหลาดที่มีหลังเป็นหนอก มีหัวที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาหลายฟุต มีแผงคอ และมีดวงตาที่ใหญ่โตเอามากๆ เรื่องราวเหล่านี้มีเล่าขานกันมาในหมู่ชนชาวกรีก ไล่มาถึงแสกนดิเนเวีย ผ่านยุคกลางจนกระทั่งถึงสมัยปัจจุบัน ในปี 1848 มีข่าวการรายงานอย่างครึกโครมจากหนังสือ The Timeอีส อินดีส์ โทรเลขจากกัปตัน ปีเตอร์ แม็คไกวส์

"ถ้ามันเป็นสิ่งที่ผมคุ้นเคย ผมต้องจำทถกส่วนของมันได้ด้วยตาเปล่า มันว่ายไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยไม่ได้หันเหเส้นทางเลย มันใช้ความเร็ว 12-15 ไมล์ต่อชั่วโมง และดูเหมือนจะมีทิศทางหรือเป้าหมายในการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน""มันไม่ได้ดำลงน้ำเลยตลอดเวลาที่อยู่ในสายตาเรา" ทว่ากัปตันของเรือรบส่วนพระองค์มีขนาดบรรทุกปืนใหญ่ของเรือถึง 18 กระบอก ชื่อเดดาลัส เขาได้รายงานให้ท่านลอร์ดผู้หนึ่งแห่งกระทรวงกองทัพเรืออังกฤษได้ทราบว่า เขาได้เห็นงูทะเลในระหว่างเดินทางไปยัง เล่าว่า เขาได้เห็นสัตว์ประหลาดนี้ในระยะที่ใกล้มากเป็นเวลา 20 นาที ความรวดเร็วเป็นลักษณะพิเศษของสัตว์ชนิดนี้ รายละเอียดอื่นที่ได้จากแม็คไกวส์ก็คือ มีหัวเหมือนงูขนาดใหญ่ที่ยื่นอยู่เหนือน้ำประมาณ 1.2 เมตร มีบางอย่างคล้ายแผงคอม้าระอยู่ที่ด้านหลังของมัน ขาดที่คำนวณอย่างคร่าวๆก็ปาเข้าไปแล้วตั้ง 18 เมตร นับว่าใหญ่โตไม่ใช่เลยใช่ไหมครับ? (กัปตัน ปีเตอร์ แม็คไกวส์ พูด)
งูทะเลถือเป็นเรื่องราวเก่าแก่ของสหรัฐเช่นเดียวกัน นับตั้งแต่ปี 1817 มันปรากฏตัวทุกฤดูร้อน นอกชายฝั่งทางตะวันออกแถบนาฮานท์ มันมีหัวกลมรูปไข่ยาวประมาณ 60 เซ็นติเมตร ตามด้วยส่วนที่โป่งนูนราว 7-8 แห่ง แต่ละแห่งยาวประมาณ 1.8 เมตร เป็นคลื่นตามกันมาคล้ายหนอนตัวหนึ่ง ความโด่งดังของเจ้างูทะเลนี้ จึงทำให้ เบอร์นาร์ด ฮิวเวลแบนส์ รวบรวมรายงานการพบเห็นมันได้มากกว่า 500 ครั้งในช่วง 150 ปีที่ผ่านมา แต่รายงานที่น่าหลงใหลที่สุด เป็นรายงานสมัยใหม่ใกล้เคียงกับปัจจุบัน ในยุครุ่งอรุณแห่งการบุกเบิกท้องทะเลสมัยใหม่ ในปี 1959 ชายชาวสก็อตซ์สองคนได้เห็นมันนอกฝั่งที่เกาะโซอี คนหนึ่งชื่อ เท็กซ์ แกดเดส เขาเคยเป็นลูกเรือให้กับนักธรรมชาติวิทยา อีกคนเป็นนายตรวจธรรมชาติวิทยาที่มาพักร้อนชื่อ เจมส์ กาวิน พวกเขาพากันกปลาแม็คคาเรลอยู่นอกชายฝั่งในวันที่มีอากาศดี พวกเขาเพิ่งจะเห็นปลาวาฬเพชนฆาตบางตัวและปลาฉลามบาสกิน แล้วกาวินก็สังเกตเห็นรูปร่างหนึ่งที่มีสีดำ อยู่ห่างออกไปราวสองไมล์ ซึ่งแก็ดเดสได้บอกเล่าในภายหลังว่า

"สิ่งนั้นว่ายตรงมาที่เรา เราจึงลุกขึ้นยืนเพื่อดูให้ชัดขึ้น ผมจำไม่ได้ว่าใกล้แค่ไหนตอนที่ผมได้ยินเสียงหายใจของมัน แต่ผมก็แน่ใจว่าเราได้ยินมันก่อนที่จะรู้ว่าเจ้าสิ่งนั้นมันมีชีวิต มันทำความเร็วได้ไม่มากเลย ผมกลัวว่าเรากำลังจ้องเสู่ความมหัศจรรย์เมื่อสิ่งนั้นว่ายตรงเข้ามาหาเรา เพราะไอ้เจ้าตัวที่กำลังว่ายเข้ามาหาเราอย่างช้าๆนั้น มันเหมือนอสูรจากนรกยุคก่อนประวัติศาสตร์ไม่มีผิด"

"หัวของมันเหมือนสัตว์เลื้อยคลานสูงประมาณ 76 เซ็นติเมตร ดวงตาถลนออกมา ไม่มีส่วนจมูกให้เห็น แต่มีรอยแยกสีแดงขนาดใหญ่ของปากซึ่งดูเหมือนจะตัดกับหัวของมันออกครึ่งพอดี และปรากฏว่ามีลิ้นที่มีลักษณะพิเศษ เราคิดว่าเห็นส่วนหลังคอของมันยาวประมาณ 2.5-3 เมตรลงไปใต้ผิวน้ำ"

ครับ เจ้าสัตว์ลึกลับตัวนั้นพิจารณาชายทั้งสองคนพร้อมเรือบดอย่างใจเย็น เคราะห์ดีที่มันไม่ทำอะไรชายทั้งสอง เลยทำให้ำพวกเขารอดกลับมาเล่าเรื่องราวพิลึกพิลั่นของตัวมันให้สาธารณชนรับทราบได้ พยานทั้งสองรายกล่าวเสริมในตอนท้ายว่า "หัวของมันดูทู่และดำกว่าส่วนอื่นๆของร่ายกายซึ่งดูเหมือนจะเป็นเกล็ด และส่วนบนของหลังมีครีบเหมือนใบเลื่อยขนาดมหึมาตั้งอยู่บนสันหลัง ดูมันจะหายใจทางปากซึ่งเปิดและปิดด้วยความสม่ำเสมอ และครั้งหนึ่งเมื่อมันหันมาเราก็มองเห็นคอหอยเป็นรูแดงๆ แต่มองไม่เห็นฟันเลย..."


วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

10 สุดยอดปริศนาบันลือโลก

อันดับ 10 : กะโหลกแก้ว (CRYSTAL SKULLS : SOUTHERN MEXICO)ปริศนาจากชาวมายัน กุญแจที่จะไขทุกคำตอบในโลกของเรา กะโหลกแก้วคริสตัลลึกลับ 5 ใน 13 ทั้งหมดที่ถูกค้นพบ ถูกปลุกฟื้นตำนานเรื่องเล่า ความเป็นไปของมนุษย์จากอดีตกาลสู่ภพหน้า แหล่งบรรจุสรรพสิ่งดั่งคำทำนาย บัดนี้ยังคลุมเครือ ท่ามกลางความสงสัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ และเทคโนโลยีในอดีต ไม่น่าเชื่อว่ากะโหลกแก้วจะสร้างขึ้นเองได้ หากเป็นความจริงอันชวนตะลึง! ดั่งคำสันนิษฐานจากกะโหลกแก้วที่ค้นพบ ข้อมูลในนั้นจะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างคนอดีตสู่คนยุคปัจจุบัน
อันดับ 9 : ภาพลายเส้นนาซคา (NAZCA LINES : NAZCA, PERU)ลายเส้นพิศวงกับปริศนาจากภาพเหล่านี้ คือข้อกังขาของที่มาของเรื่องทั้งหมด รูปภาพสัตว์ขนาดใหญ่ สุนัข แมงมุม ปลาวาฬ ดอกไม้ ลิง เป็ด และนกกางปีก บนชายฝั่งทางใต้ของเปรู เป็นคำถามที่คนพื้นเมืองในอดีตสร้างขึ้นเพื่อผูกปมเรื่องให้ใคร่คิด บ้างเชื่อเรื่องทางเดินสู่แหล่งน้ำของชนเผ่าต่างๆ บ้างก็เชื่อมนุษย์ต่างดาวใช้สถานที่แห่งนี้ลงจอดยานบิน หรือมันอาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิทินดาราศาสตร์ที่ซับซ้อน แม้จะหาข้อสรุปไม่ได้ สมมติฐานทั้งหมดก็ช่วยให้เราสนใจภาพวาดเหล่านั้นยิ่งขึ้น

อันดับ 8 : สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (BERMUDA TRIANGLE : ATLANTIC OCEAN)ความลึกลับ อาถรรพณ์ และเรื่องจริงที่เกิดขึ้นยังคงกล่าวขานถึง สู่หายนะกับสถานที่แห่งนี้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า มฤตยูกลางมหาสมุทรแอตแลนติก เหตุการณ์ที่ไม่สามารถหา คำอธิบายได้ ความจริงที่เครื่องบิน เรือ ที่ผ่านบริเวณสามเหลี่ยมมรณะถูกดูดกลืนสูญหายไปอย่าง ไร้ร่องรอยโดย ไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่สภาพอากาศ และทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีข้อสรุป คำตอบ หรือข้ออ้างให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเพียงแต่ปริศนาที่ยังค้างคาใจ ผู้คนจนถึงปัจจุบัน

อันดับ 7 : หีบพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ (ARK OF THE COVENANT : ETHIOPIA)คำตอบกับการเปิดทางสู่โลกพระเจ้า การค้นคว้าทางศาสนาครั้งยิ่งใหญ่ ปริศนาศิลาจารึกที่อยู่ข้างในหีบพระบัญญัติ คือ เครื่องมือติดต่อถึงองค์พระเจ้าโดยตรง คำสอนศาสนา หีบทองคำ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ที่องค์พระศาสดาตระหนักรู้ อาจรอคอยช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเปิดเผย แต่ยังไม่ใช่ในตอนนี้
อันดับ 6 : โอเรกอน วอร์เท็กซ์ (OREGON VORTEX : GOLD HILL, OREGON)พบกับสถานที่ที่ไม่ลึกลับแต่มันเป็นภาพลวงตาที่หาคำตอบไม่ได้ แนวแม่เหล็กที่ไขว้กันอยู่ใต้พื้นดิน สนามพลังผิดปกติ เมื่อคุณเข้าไปยืนในนั้นจะรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด จุดที่แม่เหล็กไขว้ทับกัน คุณรู้สึกได้ถึงความกดดัน มันผลักกันและกัน และหมุนรอบๆจนคุณทนไม่ไหว การยืด หรือหดตัวอย่างน่าใจหาย ไม่นับสถานที่แห่งนี้ยังมี โรงนาปริศนา ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ตัวของคุณจะเอียง ลูกกอล์ฟกลิ้งขึ้นเนินเองได้ ไม้กวาดตั้งได้เอง จนคุณอยากออกจากประสบการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้สู่ โลกแห่งความจริง ที่ทุกอย่างพิสูจน์ได้
อันดับ 5 : นักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน (THE BOSTON STRANGLER : BOSTON, MA)คดีแห่งปริศนา ฆาตกรรมอำพราง เมื่อหลายปีก่อนถูกคลี่คลาย แต่เร็วๆนี้ถูกนำมาสอบสวนใหม่ ชนวนที่ฆาตกรที่จับได้จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือ? คดีที่โด่งดังไปทั่วอ่าวแบ็คเบย์ในบอสตัน นักฆ่าใจโหด ข่มขืนและฆ่ารัดคอผู้หญิง 11 คนตายในบ้านตัวเอง คดีนี้ปิดฉากไปโดยตัวผู้รับสารภาพ อัลเบิร์ต เดอซาลโว แต่ต่อมาคดีฆาตกรรมปริศนาเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เมื่อครอบครัวของหญิง 1 ในผู้ตายพบหลักฐานที่ส่อพิรุธ การรื้อคดีเป็นได้แค่การบังหน้าของตำรวจ ไม่มีความรับผิดชอบใดใดเพิ่มมากขึ้น เดอซาลโว จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือเปล่า หรือว่านักฆ่าจอมโหดผู้นี้ยังคงลอยนวลต่อไป จนบัดนี้มันยังคงเป็นปริศนา???
อันดับ 4 : สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส (THE LOCH NESS MONSTER : INVERNESS, SCOTLAND)
บนโลกนี้มีเรื่องให้พิสูจน์อีกมาก อย่างที่เรากำลังจะพาไปเยี่ยมเยือนสัตว์ประหลาด แห่งทะเลสาบล็อกเนส ในสก็อตแลนด์ เรื่องเล่าที่โด่งดังเกี่ยวกับสัตว์รูปร่างประหลาด เนสซี่ ตัวใหญ่ประมาณ 15 – 40 ฟุต มักโผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว หลายคนสนใจติดตามจับภาพสัตว์ประหลาดตัวนี้ แล้วบางอย่างก็เป็นจริง มีภาพของวัตถุลึกลับเคลื่อนไหวอยู่ในทะเลสาบชื่อก้องนี้ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรคนหลายคนต่างเชื่อว่า เนสซี่ สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ คอยาว มีครีบ นั้นมีอยู่จริง แต่เราจะได้เห็นหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับตัวเนสซี่เอง
อันดับ 3 : คร็อพเซอร์เคิล (CROP CIRCLES : AVEBURY, ENGLAND)วงกลมประหลาด รูปร่างแปลกๆหลายรูป ที่ยังคงต้องการคำตอบ เหตุแห่งการเกิด ชาวเมืองเอฟเบอรี่คุ้นเคยกับมันดี วงขนาดใหญ่ ยาวกว่า 200 เมตร กว้างร่วม 40 เมตร เกิดกระจัดกระจายไปทั่วทุ่งนา นำความเสียหายปนความสงสัยให้กับเจ้าของที่นาบริเวณ นั้นเป็นอย่างมาก มีทฤษฎีหลายทฤษฎีถูกตั้งขึ้นมาเพื่อตอบคำถาม ของคร็อพเซอร์เคิล มันอาจเป็นข้อความ หรือภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างมนุษย์ต่างดาว หรืออาจเป็นแค่วงกลมที่สร้างขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจ แค่นั้นเองก็ได้ คงไม่มีวันรู้
อันดับ 2 : ยักษ์แห่งเกาะอีสเตอร์ (EASTER ISLAND GIANTS : EASTER ISLAND, CHILE)เดินทางมาสัมผัสเกาะปริศนาที่โดดเดี่ยว เวิ้งว้างกลางมหาสมุทร รูปสลักหินลึกลับขนาดมหึมากว่า 800 รูป เรียงรายเต็มฝั่งทั่วเกาะ ทั้งที่ไม่มีคนอยู่ รูปสลักนี้มาจากไหน? สร้างขึ้นได้อย่างไร? อาจเป็นชาวโพลีนีเชียนชนพื้นเมืองที่มาตั้งรกรากเมื่อ ค.ศ.400 เป็นผู้สร้างขึ้น แต่ทำไมถึงสร้าง และอยู่บริเวณนี้ได้อย่างไรยังคงเป็นปริศนาดำมืด ด้วยวิวัฒนาการ ความรู้ของคนในสมัยอดีต เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยกหินที่หนักกว่า 75 ตันมาไว้ตามชายฝั่งได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงกระนั้นรูปปั้นเหล่านี้ก็ยังคงถูกทิ้งไว้เพื่อค้นหาคำตอบต่อไป
อันดับ 1 : แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ (JACK THE RIPPER : LONDON, ENGLAND)มันคงเป็นปริศนาต่อไป และน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะ ปริศนาอันดับ 1 ที่ยังคงค้างคาใจเรา ฆาตกรต่อเนื่อง แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ อาชญากรระดับโลกที่ยังจับตัวไม่ได้ การสังหารอย่างโหดเหี้ยมของเหยื่อหลายรายติดๆกันถูกกล่าวขานถึง ย่านอีสต์เอนด์ของลอนดอนสร้างชื่อกระฉ่อนถึงความน่าสะพรึงกลัว ไม่เพียงแต่ไร้วี่แววของฆาตกร การพิสูจน์ หรือทดสอบด้านนิติวิทยาศาสตร์ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร จึงไม่มีเหตุผล หรือหลักฐานหนักแน่นในการมัดฆาตกร จากคดีฆาตกรรมที่โด่งดังทำให้มีผู้ต้องสงสัยเกิดขึ้นมากมาย หลักฐานสำคัญต่างๆ ถูกผุดขึ้นมาภายหลัง จะเป็นไปได้มั้ยที่จะสืบสาวหาฆาตกรตัวจริงได้ แม้ฆาตกรคนนั้นคงไม่มีชีวิตอยู่ให้จับแล้ว แต่ก็ยังดีที่ได้รู้ว่าฆาตกรตัวจริงผู้นั้นคือใคร ?

ต้นกำเนิดโลกในทรรศนะของกรีก-โรมัน

หลายคนอาจเคยรู้มาบ้างแล้วว่าชาวกรีก-โรมันมีความเชื่อว่าโลกเรานี้แบน โดยมีแผ่นดินอยู่ตรงกลางและมีแม่น้ำล้อมรอบ มียอดเขาโอลิมปัสที่อาศัยของทวยเทพอยู่ใจกลางโลก ว่าแต่…แล้วโลกเกิดมาได้อย่างไรล่ะเดี๋ยวผมจะมาเล่าให้ฟังกันครับ
ต้นกำเนิดโลกในทรรศนะของกรีก-โรมันตามความเชื่อของชาวกรีก-โรมันเชื่อว่าก่อนที่โลกกลมๆใบนี้จะเกิดขึ้นนั้น แผ่นดิน น้ำและอวกาศยังปะปนกันโดยมีเทพองค์หนึ่งนามว่า เคออส(Chaos) ปกครองอยู่ร่วมกับชายานามว่านิกซ์หรือนอกซ์(Nyx/Nox) จนต่อมาลูกชายของทั้งสององค์คือ อีเรบัส(Erebus) เทพแห่งอนธกาล มาช่วย (น่าสนใจ...พ่อไร้รูป+แม่เทพีมืด=ลูกความมืด –ก็จะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะ-ผู้เขียน)

สิ่งแรกที่อีเรบัสทำก็คือปลดพ่อตัวเองลงจากตำแหน่งเพื่อขึ้นครองบัลลังก์แทนซะงั้น และแต่งงานกับแม่ตัวเอง แน่นอนสมัยนี้การแต่งงานกับพ่อหรือแม่ของตนเองเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจแต่ในสมัยนั้นยังไม่มีกฎ กติกา มารยาทใดกล่าวห้ามไว้จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่จะสมรสกับพ่อหรือแม่บังเกิดเกล้าของตัวเอง

อีเรบัสกับนิกซ์ก็มีลูกด้วยกันสององค์คือ อีเทอร์(Aether) และฮีเมรา(Hemera)แล้วก็เหมือนกรรมตามสนองเมื่อลูกทั้งสองพร้อมใจกันปลดพระบิดาและพระมารดาลงจากตำแหน่ง (น่าสงสารก็แต่นิกซ์ที่โดนปลดมาสองรอบแล้ว)

ด้วยความช่วยเหลือจากบรรดาเทพหลายๆองค์เช่น พอนตัสเทพแห่งทะเล(Pontus) กีอา/กี(Gaea/Ge) เทลลัสหรือเทอราเทพธรณี (Tellus/Terra) และอีรอสหรืออะมอร์เทพแห่งความรัก (Eros/Amor)-ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนเองก็ยังงงอยู่ว่าเป็นอีรอสองค์เดียวกับกามเทพหรือคิวปิดลูกของวีนัสรึเปล่า...ก็ชื่อเหมือนกันทำหน้าที่เดียวกันแต่อยู่คนละช่วงเวลานี่นา -*-

เมื่อโลกรวมกันเป็นโลกแล้วงานก็เหมือนจะเสร็จสิ้น ยกเว้นแต่ว่าบรรดาเทพทั้งหลายที่มานั่งมองหน้ากันด้วยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับโลกใบนี้ดี เทพอีรอสจึงหยิบเอาธนูผู้ให้ชีวิตแทงลงไปบนพื้นโลก ทันใดนั้นพื้นดินสีน้ำตาลก็เต็มไปด้วยสรรพชีวิตมากมายต้นไม้หลากหลายขนาดสารพัดชนิดแข่งกันชูช่อออกดอกออกผลกันเป็นการใหญ่ มีสายน้ำผุดขึ้นมาจากผิวดินไหลระเรื่อยไปเป็นแม่น้ำลงสู่ทะเลที่มีเทพพอนตัสดูแลอยู่
 
พิภพที่สร้างขึ้นมาในยุคนั้นตามความเชื่อของชาวกรีกเชื่อว่าเป็นรูปทรงเหมือนจานและมีบ้านเมืองของตนอยู่ตรงกลางโดยมีภูเขาโอลิมปัสซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของบรรดาเทพอยู่ที่ศูนย์กลาง

เทพเคออส อีเรบัส และนิกซ์ ล้วนแต่ถูกถอดถอนออกจากอำนาจโดยลูกของตนเหมือนเป็นวัฏจักรเมื่อต่อมา ยูเรนัส(Uranus) และกีอาทรงอำนาจมากกว่าบรรพบุรุษไม่ช้าก็บีบบังคับให้อีเทอร์และฮีเมราสละบัลลังก์

กีอาและยูเรนัสสมรสกันและให้กำเนิดอสุรเทพไททันส์(Titans)สิบสององค์ขึ้นมา ยูเรนัสเองก็เกรงว่ากรรมจะตามสนองจึงส่งลูกทั้งสิบสองเป็นหญิงหกชายหกลงไปขังไว้ที่ขุมนรกทาทาร์รัส(Tartarus)แล้วตรึงโซ่ตรวนไว้

ต่อมายูเรนัสก็ได้ลูกชายอีกสามจากชายากีอาเป็น ไซคลอปส์ (Cyclopes)สามตนและทั้งสามตนก็ตกที่นั่งเดียวกันกับพวกพี่ๆคือถูกส่งตัวไปยังทาร์ทารัสเช่นเดียวกันและก็เป็นอย่างเดียวกันกับน้องๆอีกสามคือ เซนติมานีเทพร้อยมือ (Centimani)



การกระทำของสวามีทำให้กีอาไม่พอใจอย่างมากจึงลงไปหาบรรดาลูกๆที่ขุมนรกทาร์ทารัสเพื่อยุยงส่งเสริมให้ลูกโค่นอำนาจจากพระราชบิดา โดยมีโอรสองค์หนึ่งที่เป็นองค์เล็กสุดในบรรดาไททันส์นามว่าโครนัสหรือที่รู้จักกันในนามแซเทิร์นเทพแห่งกาลเวลา(Cronus/Saturn) เกิดความฮึกเหิมที่จะไปต่อสู้กับพระบิดา กีอาได้ปล่อยเขาออกมาจากที่คุมขังพร้อมทั้งมอบอาวุธเป็นเคียวอาญาสิทธิ์ให้ และแล้วโครนัสก็จัดการกับพระบิดาได้ ก่อนที่จะสถาปนาตนเองขึ้นครองบัลลังก์นั้นยูเรนัสก็สาปแช่งให้โครนัสถูกลูกตัวเองขับไล่และยึดอำนาจเหมือนที่ตนได้ประสบ

โครนัสไม่ใส่ใจคำสาปแช่งของบิดา ขึ้นครองบัลลังก์ในที่สุดและได้เลือกเอาน้องสาวของตนนามว่ารีอา(Rhea)มาเป็นภรรยา ต่อมาเมื่อรีอาได้ให้กำเนิดทารกแก่โครนัส คำสาปแช่งของยูเรนัสก็ดังขึ้นมาในหัว ด้วยความรักตัวกลัวตายจึงสั่งให้รีอานำลูกที่เพิ่งเกิดมามอบให้ โดยไม่ฟังคำทักท้วงใดๆทั้งสิ้นโครนัสอ้าปากและกลืนทารกน้อยลงท้องไป

รีอาพยายามทุกครั้งที่เธอให้กำเนิดทารก อ้อนวอนให้โครนัสไว้ชีวิตลูกของเธอ จนกระทั่งลูกห้าคนถูกกลืนกินไปจนหมด รีอาก็ตั้งครรภ์อีก เธอตั้งใจว่าไม่ว่าอย่างไรทารกคนนี้ต้องอยู่รอดให้ได้

เมื่อครบกำหนดคลอดรีอาได้ให้กำเนิดทารกเพศชายออกมาและในทันใดนั้นโครนัสก็ได้ร้องเรียกเธอเพื่อกำจัดทารกน้อยที่เป็นเสี้ยนหนามของชีวิต รีอารีบเอาก้อนหินมาใส่ไว้แทนที่ทารกน้อย และเดินเข้าไปหาโครนัสด้วยน้ำตานองหน้ากอดก้อนหินเย็นชืดไว้แนบอกโครนัสหาได้สนใจน้ำตาของภรรยาไม่เขาฉวยห่อผ้านั้นมาและกลืนลงท้องไปโดยไม่ได้เปิดดูก่อนว่าข้างในนั้นจะใช่ทารกจริงรึเปล่า

ทางฝ่ายรีอาเองนั้นก็แกล้งทำเป็นกรรแสงก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป สองมือปิดหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มในความสำเร็จของการรักษาชีวิตลูกน้อย แต่ทารกนั้นไม่สามารถเลี้ยงไว้กับตัวได้

ความเดิมจากตอนที่แล้ว...หลังจากที่เทพมารดารีอาแกล้งนำก้อนหินห่อผ้าส่งให้พระสวามีสวาปามเข้าไปแล้ว เธอก็วิ่งออกจากห้องไป เมื่อกลับไปที่ห้องบรรทมก็จ้องมองลูกน้อยที่เพิ่งรอดชีวิตมาหยกๆ พลางคิดว่าเธอจะเลี้ยงดูเทพทารกองค์น้อยนี้ได้อย่างไร ถ้าลูกอยู่กับเธอซักวันความลับก็ต้องถูกเปิดเผย

ดังนั้นทารกน้อยจึงถูกเธอส่งไปไว้ที่เกาะครีตบนยอดภูเขาไอดา และให้นางแพะที่ชื่อว่าอมัลธีอา(Amaltheia)เป็นแม่นม ทารกคนนั้นมีชื่อเพราะพริ้งว่า จูปิเตอร์(Jupiter) ทารกน้อยจูปิเตอร์หรือโจฟนี้มีพี่เลี้ยงเป็นบรรดานางไม้มีเลียน(Meline Nymphs)

และเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงร้องไห้ของทารกดังขึ้นไปถึงยอดเขาโอลิมปัส นักบวชในกลุ่มของเทพีรีอาที่มีชื่อเรียกว่าคิวเรตีส(Curetis) ก็มักจะร้องเพลงสงครามบ้าง ทั้งส่งเสียงหวีดร้อง บ้างก็ทำเสียงดังโฉ่งฉ่างเพื่อกลบเสียงร้องของทารกนั้นเสีย เทพโครนัสไม่ได้เอะใจเลยแม้แต่น้อยว่าโอรสยังคงมีชีวิตอยู่ต่ำลงไปเบื้องล่าง

ซีอุสกับแม่นม อมัลธีอาแล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่เทพยูเรนัสได้สาปแช่งไว้ ครั้นโจฟเติบใหญ่เป็นหนุ่มล่ำก็รวบรวมบรรดาทวยเทพองค์อื่นๆที่ค่อนข้างไม่ชอบการปกครองของโครนัสแล้วยกทัพขึ้นสู้รบกับบรรดาเทพวงศ์ไททันส์ ฝ่ายอสุรเทพไททันส์มีแอตลาส(Atlas)เป็นขุนพลใหญ่ ส่วนทางด้่านจูปิเตอร์นั้นมีกำลังหลักเป็นยักษ์ไซคลอปส์ที่เจ็บแค้นฝ่ายไททันส์เป็นทุนเดิม ก็เพราะว่าไททันส์นั้นเอาพวกไซคลอปส์มาเป็นทาสรับใช้นั่นเอง ทางด้านไซคลอปส์ที่เคยเป็นทาสของฝ่ายตรงข้ามก็รีบหันมาเข้าพวกกับจูปิเตอร์ทันที และยังนำอาวุธร้ายของพวกไททันส์คือสายฟ้ามามอบให้เสียอีก ด้วยพละกำลังและแสนยานุภาพในที่สุดโจฟก็ชนะและขึ้นครองบัลลังก์ ก็เป็นธรรมดาที่ผู้แพ้จะต้องถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ไททันส์จำนวนมากถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดิน ยกเว้นแม่ทัพใหญ่คือแอตลาสที่โดนโทษหนักหน่อย...ก็แค่ถูกลงโทษให้ยืนแบกสวรรค์ตลอดกาลเท่านั้นเองจนมีอยู่ช่วงหนึ่ง---ยังไม่เล่าดีกว่า เก็บไว้ก่อน อิอิ

แอตลาสแบกสวรรค์แต่ไม่ใช่ไททันส์ทุกตนจะโดนจองจำนะคะ ยังมีไททันส์บางส่วนที่มีความเป็นกลาง เรียกว่าเป็นพวกไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดว่างั้นเถอะ ก็ยังสามารถอยู่กับรัฐบาลใหม่ได้อย่างสบาย อาทิเช่น โอเชียนนุส(Ociennus)และไฮเปอเรียน(Hyperion)

เมื่อชนะสงครามแล้วเจ้าสวรรค์องค์ใหม่จึงมอบหมายให้เมทิส(Metis)ลูกสาวของโอเชียนนุส ปรุงยาวิเศษขึ้นเพื่อให้โครนัสขยอกเอาพี่ๆทั้งห้าของตนออกมา อันได้แก่ เนปจูน(์Naptune)พลูโต(Pluto) เวสต้า(Vesta) ซีรีส(Ceres) และจูโน่(Juno)

ก็อย่างที่เราๆท่านๆรู้กันนะคะ เนปจูน ได้เป็นเจ้าผู้ครองแผ่นน้ำ พลูโต ก็เป็นใหญ่ในยมโลก เวสต้าเป็นเทพีแห่งคหกรรม ซีรีสเป็นโพสพเทวี คล้ายๆบ้านเรานั่นแล และสุดท้าย จูโน่ กลายเป็นชายาเอกของจูปิเตอร์(ก็ว่า...ทำไมถึงเกรงใจจัง)

หลังจากที่เพลี่ยงพล้ำตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แก่โอรสของตนเองแล้วจึงยกพลพรรครักเอยไปอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าเฮสเพอเรียหรืออิตาลีในปัจจุบันนั่นเอง

แต่ก็แน่นอนการขึ้นครองบัลลังก์ของโจฟก็ใช่ว่าจะเป็นสุขไปเสียทีเดียวนะคะ วันหนึ่งเทพีกีอาก็ทรงสร้างอสูรร้ายกาจขึ้นมาตนหนึ่งนามว่าไทฟอน(Typhon)ลักษณะน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ที่ลำตัวนั้นมีมังกรร้อยหัวโผล่ออกมา ดวงตา จมูก และปากมีเปลวไฟบรรลัยกัลป์พวยพุ่งตลอดเวลา ทำให้ทวยเทพที่สิงขรโอลิมปัสหวาดกลัวอย่างแรงจนพากันลี้ภัยไปอยู่ที่อียิปต์นู่นเชียว การไปในครั้งนั้นบรรดาเทพต่างแปลงกายเป็นสัตว์ต่างๆเพื่อที่เจ้าอสูรไทฟอนจะไม่สามารถจำได้ เช่น จูปิเตอร์เองนั้นแปลงร่างเป็นแกะ เทพีจูโน่กลายร่างเป็นวัว

ในไม่ช้าบรรดาเทพก็รู้สึกอับอายที่จะต้องหลบหนีอยู่แบบนี้ ภายใต้การนำของจูปิเตอร์ที่ยกทัพกลับไปที่โอลิมปัสนั้นก็เพื่อสังหารไทฟอนเสีย  สงครามย่อยๆแต่ยาวนานได้เกิดขึ้น จนในที่สุดจูปิเตอร์ก็เป็นฝ่ายชนะ

อย่างที่คิดกันแหล่ะค่ะ ไม่นานนักกีอาก็ส่งอสูรร้ายมาอีกตน นามว่าเอนซีลาดัส(Enceladus) อืม...ตัวนี้หน้าตาเป็นไงน๊า...คิคิ อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ พยายามหารูปมาให้ดูกันแต่ไม่สามารถอ่ะค่ะ เอาไว้หาเจอก่อนนะคะ เอนซีลาดัสถูกโค่นลงได้ในที่สุดและจูปิเตอร์ก็จับมันขังไว้ในถ้ำใต้ภูเขาแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าเอตน่า(Aetna)ช่วงแรกมันจะคำรามและพยายามพ่นไฟขึ้นมาทำร้ายผู้จับมันขังไว้

บัดนี้โจฟมีชัยเหนือศัตรูทั้งปวงและอยู่อย่าสุขโขสโมสรบนยอดสิงขรโอลิมปัส และในที่สุดเมื่อพวกไททันส์คิดได้ว่าการยอมรับจูปิเตอร์ไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไรนัก จึงยอมอ่อนข้อและศิโรราบให้เจ้าสวรรค์ในที่สุด
จากคราวที่แล้ว หลังจากการขึ้นครองบัลลังก์ของโจฟได้ไม่นาน เจ้าสวรรค์ก็มีความรู้สึกว่าโลกนี้ช่างเงียบเหงาวังเวงเสียนี่กระไร ท้าวเธอจึงรับสั่งเรียกอีรอสเข้ามาพบแล้วปรารภว่าอยากให้โลกนี้มีสีสันทำอย่างไรดี เจ้าจงไปคิดมา

เทพอีรอสเทพแห่งความรักก็ได้นิ่งคิดแล้วเรียก โพรมีทีอัส (Prometheus) และ อีพิมีทีอัส(Epimetheus) บุตรแห่ง ไออาพีทัส (Iapetus) และ ไคลมินี(Clymene) มาช่วยพระองค์
อีพิมีทีอัสผู้น้องได้เสกสรรปั้นแต่งบรรดาสัตว์เดรัชฉานทั้งหลาย เขาได้ให้อาวุธป้องกันตัวแก่สัตว์เหล่านั้นไปจนหมดสิ้น ทั้งเขี้ยว เล็บ ขนหยาบหนา และพละกำลัง (ดีแค่ไหนคะที่อีพิมีทีอัสเอาเขี้ยว เล็บ ขนหยาบหนา ให้สรรพสัตว์ไปหมด แฮ่ะๆจริงๆไม่ต้องเหลือไว้ให้มนุษย์ก็ดีค่ะ)เมื่อโพรมีทีอัสกลับมาเห็นสรรพสัตว์ที่กำลังวิ่งวุ่นวายอยู่ในที่พักก็ตกใจ ว่าน้องไม่รู้จักยั้งคิดเสียก่อน เขาได้แต่ส่ายหัวแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานที่ตนตั้งใจไว้

และแล้วผลงานของโพรมีทีอัสก็เสร็จสิ้น สิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาได้ถอดแบบมาจากบรรดาเทพเจ้า เป็นสัตว์สวยสง่า ยืนด้วยสองขาหลัง กระดูกสันหลังตั้งฉากกับพื้นโลก เทพอีรอสได้เป่าลมหายใจเข้าไปเป็นการมอบจิตใจให้ ส่วนเทพีมินอร์วาได้มอบวิญญาณให้ มนุษย์จึงมีชีวิตเคลื่อนไหวได้ – มนุษย์ตนแรกเป็นผู้ชายค่ะ และก็มีเพศชายเพียงเพศเดียวจนกระทั่ง...เกิดเรื่องราวต่อมา ยังไม่เล่าค่ะ ค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้นตอน
โพรมีทีอัสผู้พี่ได้เกิดความรักในสิ่งที่ตนสร้างขึ้นอย่างเหลือเกินจึงคิดมอบของขวัญอันพิเศษสุดให้แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาทบทวนดูว่าสิ่งใดที่มนุษย์ต้องการ ในเมื่อโลก ณ เวลานั้นเต็มไปด้วยความสะดวกสบายทุกสิ่ง มีผลไม้ใีห้เก็บกินอย่างเหลือเฟือ แม่น้ำ ลำธารไหลริน มีแม้กระทั่งน้ำผึ้งหวานหอมที่หยดหยาดจากรวงผึ้งสีทองอร่าม อย่างนี้แล้วมนุษย์จะยังต้องการอะไรอีกเล่า


ท่ามกลางความสว่างในตอนกลางวันช่างเป็นเวลาที่สวยงามเสียนี่กระไร แล้วเมื่อยามสนธยาย่างกรายมาถึงโลกนี้ก็พลันมืดมิด ไฟ! สิ่งที่มนุษย์สมควรได้รับคือไฟนั่นเอง แต่เขาจะอาจหาญเอามาได้อย่างไร ในเมื่อไฟนั้นเป็นเอกสิทธิ์ของทวยเทพไม่มีทางที่บรรดาเทพจะยินยอมให้ในสิ่งที่สูงค่าอย่างนั้น มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือการขโมยเอา

คิดได้ดังนั้นโพรมีทีอัสของเราก็ได้จรลีไปยังยอดเขาโอลิมปัสเพื่อหาทางขโมยเอาไฟมาให้มนุษย์ เมื่อสบโอกาสเขาก็ฉวยเอาไฟกองเล็กๆมากองหนึ่งซ่อนไว้ในอกเสื้อแล้วส่งไปให้มนุษย์ที่รับมาด้วยความสำนึกในพระคุณ


โพรมีทีอัสขโมยไฟจากสวรรค์
ไม่นานสิ่งที่โพรมีทีอัสคิดไว้ก็เป็นจริงเมื่อ จูปิเตอร์เองทัศนาลงมาจากยอดเขาโอลิมปัสเห็นแสงสว่างวับแวมผิดปกติ จึงสังเกตดูและสืบพบว่าตัวการของเรื่ืองนี้คือ โพรมีทีอัส นั่นเอง จูปิเตอร์โกรธมากที่เทพของท่านเองกล้ากระตุกหนวดเสือเช่นนี้ ถึงกับออกปากว่าจะลงโทษโพรมีทีอัสอย่างเต็มที่ โทษที่โพรมีทีอัสได้รับคือการถูกมัดติดไว้ที่ชะง่อนผาและมีพญาแร้งตัวมหึมาคอยตะกุยเนื้อที่สีข้างให้เป็นรูเพื่อจิกเอาตับออกมากิน การลงทัณฑ์นี้วนเวียนอยู่เป็นเวลานาน
เมื่อถึงเวลากลางคืนที่พญาแร้งกลับไปเกาะคอนนอนแล้ว บาดแผลที่ได้รับเมื่อตอนกลางวันก็จะสมานกันดังเดิม ตับของโพรมีทีอัสก็จะเติบโตขึ้นใหม่

ครั้นเมื่อเทพอพอลโลชักรถเทียมม้าออกสู่ฟากฟ้า ให้แสงสว่างส่องกระจ่างไปทั่วโลกพญาแร้งก็จะกลับมาทำหน้าที่ของตนเช่นเดิม เป็นอย่างนี้ยาวนาน จนกระทั่งมีผู้มาช่วยนามว่า เฮอร์คิวลิส (Herculis) ซึ่งจะได้กล่าวถึงในคราวต่อไป


ค่ะ ต่อไปเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับอิพิมีทีอัสคนน้องบ้างละนะคะ หลังจากที่จูปิเตอร์ได้ลงทัณฑ์โพรมีทีอัสไปแล้วก็ได้ทรงคิดแค้นบรรดามนุษย์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง จึงได้เรียกรวมประชุมเทพทั้งหมดเพื่อหาทางแก้แค้น

มนุษย์เพศหญิงคนแรกจึงได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นการแก้แค้นนั่นเองค่ะ หญิงสาวสวยสะคราญนางนี้มีนามว่า แพนดอร่า (Pandora) จูปิเตอร์ได้ส่งนางไปให้โพรมีทีอัสแต่เขาปฏิเสธเพราะเชื่อว่าสิ่งใดก็ตามที่มาจากเทพเจ้านั้นน่าจะไม่ดีต่อเขาเป็นแน่ แต่น้องชายของเขาไม่เป็นเช่นนั้น

เพียงแค่ได้พบหน้าน้องนางก็เล่นเอาใจละลาย อิพิมีทีอัสรีบรับนางไว้ในอ้อมแขนอย่างเต็มอกเต็มใจ แม้ว่าพี่ชายจะว่าอย่างไรเขาก็หาฟังไม่ ทั้งสองอาศัยอยู่ด้วยกันในถ้ำของอิพิมีทีอัส แต่ละวันที่ผ่านไปช่างมีความสุขเสียนี่กระไร อีพิมีทีอัสมักจะออกไปนอกถ้ำเพื่อเดินเล่นในผืนป่าเขียวชอุ่มร่วมกับแพนดอร่า อยู่มาวันหนึ่งเมอร์คิวรีได้เดินทางผ่านมาบริเวณผืนป่าที่ทั้งสองกำลังเดินเล่นกันอยู่ด้วยสภาพเนื้อตัวมอมแมม บนบ่าแบกหีบไม้ใบใหญ่สวยงามเอาไว้ ตามประสาผู้หญิงแพนดอร่านึกสงสัยถึงสิ่งที่อยู่ในหีบ นางจึงแอบกระซิบให้สามีสอบถามว่ามีสิ่งใดอยู่ในหีบใหญ่นั้น

แต่เมอร์คิวรี่เลี่ยงที่จะไม่ตอบแล้วจากไปโดยสั่งไว้ว่าขอฝากหีบใบนี้ไว้และห้ามเปิดหีบใบนี้เด็ดขาด อิพิมีทีอัสก็ยกหีบไปไว้ที่มุมถ้ำโดยไม่ได้สนใจอะไรต่อไป เป็นฝ่ายหญิงนั่นเองที่เกิดความสงสัยหนักเข้าไปอีก ยิ่งเจ้าของห้ามยิ่งอยากรู้ว่าอะไรอยู่ข้างในเธอเดินไปเยี่ยมๆมองๆอยู่พักหนึ่ง พยามยามแง้มเปิดฝากล่องสักหน่อยเพียงแค่ขอแอบมองเข้าไปนิดเดียวเท่านั้นเอง
อิพิมีทีอัสเห็นท่าทางของนางก็ได้กล่าวกับนางว่า สิ่งนี้ไม่ใช่ของของเรา เราไม่ควรจะไปยุ่ง ยิ่งเจ้าของเขาสั่งห้ามไว้ขนาดนั้นแล้วยิ่งไม่ควรเป็นอย่างยิ่งทำให้เธอขัดเคืองใจเป็นอย่างมาก ถึงกับงอนหนีไปนั่งอยู่ท้ายถ้ำ อิพิมีทีอัสพยายามชวนนางออกไปเดินเล่นข้างนอกนางก็ไม่ไป จนกระทั่งเขาเกิดความรำคาญและเดินจากไปลำพัง คิดว่าเมื่อเขาจากไปซักพักนางอาจอารมณ์ดีขึ้นและคงกลับมาน่ารักเหมือนเดิม

เมื่ออิพิมีทีอัสจากไปนางก็ยิ่งเดินงุ่นง่านไปมาเหมือนเสือติดจั่น จนกระทั่งนางรู้สึกหรือคิดว่าตนเองรู้สึกว่าได้ยินเสียงดังมาจากในหีบ นางเดินเข้าไปใกล้ๆหีบและยืนลังเลอยู่ด้วยความไม่แน่ใจ จะมีเสียงดังออกมาจากหีบได้อย่างไร นางจึงเอาหูไปแนบ มีเสียงดังออกมาจากหีบจริงๆ
“แพนดอร่า ได้โปรดปล่อยเราไปเถอะ เราไม่อยากอยู่ในนี้” แพนดอร่าถอยมานิดหนึ่ง เสียงนั้นยังคงดังอยู่ “ได้โปรด....” นางลังเลอยู่พักหนึ่ง เสียงลึกลับคร่ำครวญอย่างน่าเวทนาดังกล่าวยังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง นางจึงตัดสินใจเปิดฝาหีบขึ้น


แพนดอร่ากับหีบแห่งหายนะ!
ทันใดก็มีฝูงแมลงชั่วร้ายที่มีชื่อว่า ความลำบาก ความเจ็บปวด ความทุกข์ ฯลฯ กรูกันออกมาจากหีบและรุมต่อยทำร้ายเธอ เสียงหวีดร้องของแพนดอร่าดังไปถึงหูของอิพิมีทีอัสผู้เป็นสามี เขารีบกลับมาที่ถ้ำและพบว่าแพนดอร่าคนงามกำลังโดนรุมทำร้าย เขารีบวิ่งไปปัดเหล่าแมลงพวกนั้น จึงพลอยโดนทำร้ายไปด้วย ซักพักแมลงเหล่านั้นก็บินออกทางหน้าต่างไป เสียงมนุษย์กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากการโดนแมลงต่อย

แพนดอร่านั่งร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของสามี พลันนั้นก็มีเสียงดังออกมาจากหีบอีกขอร้องว่าให้ปล่อยไป แพนดอร่าเงยหน้าสบตาสามีเป็นเชิงขอความเห็น อิพิมีทีอัสพยักหน้าตอบเพราะคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว เมื่อเปิดฝากล่องออกมาก็ปรากฏร่างของ ความหวัง (Hope) บินออกมาจากกล่องเพื่อปลอบโยนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ

อันที่จริงความหวังไม่ได้ทีอยู่ในกล่องหรอกค่ะแต่มีเทพใจดีองค์หนึ่งแอบเอาใส่ไว้ให้ ความหวังได้โบยบินไปทั่วเพื่อปลอบใจผู้บาดเจ็บทั้งหลาย ผู้ที่ท้อแท้ก็พลันมีความหวังขึ้นมาว่าอะไรอะไรต้องดีขึ้น ผู้ที่กำลังอ่อนล้าก็กลับมีกำลังใจขึ้นมาใหม่

Mystery of The Mothman : ตำนานแห่งมนุษย์แมลง

เจ้า Mothman เนี่ยเป็นสิ่งมีชีวิตปริศนา ที่พบกันที่ West Virginia มีลักษณะคล้ายๆค้างคาวปนตัวมอธ ลักษณะท่าทางการเคลื่อนไหวเหมือนค้างคาวบวกผีเสื้อกลางคืน พบเห็นเป็นครั้งแรกเมื่อ 12 พ.ย. ค.ศ. 1966 และก็พบเห็นกันเรื่อยมา

อาจกล่าวได้ว่าทศวรรษที่ 70-80 นั้น Mothman ถือเป็นตัวประหลาดแห่งปี เพราะมีข่าวของการพบมันกันหนาหูมากๆ แรกทีเดียวนั้น ตำรวจและเจ้าหน้าที่ คิดว่าเป็นแค่การเล่นพิเรนทร์ของวัยรุ่นหรือพวกจิตป่วนที่คิดจะแต่งตัวเลียนแบบ Batman ซึ่งเป็นทีวีซีรี่ย์ที่ดังมากๆในสมัยนั้น เอาไปเอามาชักไม่ใช่แล้วสิครับ เพราะ Mothman ไปเกี่ยวพันกับปรากฏการณ์สยองหลายๆครั้ง เช่น การถล่มของสะพาน Silver Bridge ตึกถล่ม หรือแม้แต่การปรากฏของ UFO ในหลายๆครั้ง ไม่มีใครรู้ว่า Mothman แท้ที่จริงคือตัวอะไรกันแน่ แต่ข่าวที่เชื่อได้ก็คือ ในช่วงที่ Mothman ปรากฏตัว จะมีชายแปลกหน้าใส่ชุดสีดำ หรือ น้ำตาลป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณใกล้เคียงเสมอๆ (ยังกะ MIB เลยแฮะ)

ถึงอย่างนั้นก็มี Mothman เก๊หลายตัวครับ ที่โดนจับได้ว่าปลอมตัวมาแหกตาชางบ้านในรอบหลายปีที่ผ่านมา เอาเป็นว่า ถ้าว่างแล้วจะเอาเรื่องแบบเต็มๆของ Mothman มาลงให้อ่านก็แล้วกันนะครับ ตอนนี้ขอติดไว้ก่อน

:: ภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับมอธแมน ::
สะพานซิลเวอร์ถล่ม
เพียงไม่กี่เดือนก่อนการถล่มของสะพานซิลเวอร์ สภาพของเมืองพอยท์ พลีเซนท์ รัฐเวสท์เวอร์จิเนียกำลังตกอยู่ในความระส่ำระสายจากเหตุแปลกประหลาดมากมาย มีรายงานการพบเห็นม็อทแมน (Mothman) มากกว่าร้อยชิ้น การพบเห็นจานบินยูเอฟโอ (UFO) มากมาย และการถูกก่อกวนโดยมนุษย์ตัวเขียว ชาวเมืองบางคนมีความรู้สึกว่าม็อทแมน (Mothman) กำลังส่งสัญญาณเตือนบางประการมายังพวกเขา ทว่าก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้จนกระทั่งถึงช่วงเทศกาลคริสต์มาสของปีเดียวกันนั้น
สะพานซิลเวอร์เป็นสะพานที่ก่อสร้างขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ด้วยการที่มันถูกยึดโยงไว้ด้วยโซ่เส้นใหญ่ มันมีอายุใกล้จะ 40 ปีแล้วในปี 1967 และเพราะการก่อสร้างนั่นเอง ที่ทำให้แค่ความผิดพลาดของหนึ่งข้อต่อของสายโซ่ก็พอจะเป็นสาเหตุให้สะพานทั้งหลังถล่มลงในทันที และมันก็เกิดขึ้นจริงๆในวันที่ 15 ธันวาคม 1967 ซึ่งจากสภาพอันผุกร่อนและอายุที่ยาวนานของมัน ตัวสะพานกลับยังคงถูกใช้งานอย่างหนักในการจราจรอันหนาแน่นช่วงเทศกาลคริสต์มาส และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ไฟควบคุมการจราจรที่อยู่บนปลายด้านหนึ่งของสะพานไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งสาเหตุที่มันใช้งานไม่ได้กลับไม่ได้ถูกหยิบยกมาพิจารณา ตอนเย็นของวันที่ 15 ธันวาคม 1967 สะพานซิลเวอร์ก็ถล่มลงมาในช่วงที่การจราจรกำลังหนาแน่น ชาวเมืองจำนวน 46 คนเสียชีวิตจากเหตุการณ์หายนะครั้งนี้ ทันทีที่รถยนต์ของพวกเขาจมลึกลงไปในแม่น้ำโอไฮโออันเย็นเฉียบก่อนจะถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดินเพียงเล็กน้อย มันเป็นหายนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในเมืองพอยท์ พลีเซนท์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีจำนวนพลเมืองน้อยกว่า 6,000 คน

หนึ่งในผู้โชคดีที่รอดชีวิตซึ่งขับรถขึ้นไปบนสะพานก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุหายนะเพียงไม่นาน เล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า "มีความรู้สึกมั่นใจมากๆว่ามีบางอย่างที่ไม่สู้ดีกำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งฉันไม่อาจเพิกเฉยต่อมันได้" เธอตัดสินใจกลับรถและถอยหลังออกมาจากสะพาน และได้เห็นในวินาทีต่อมาว่าสะพานได้ถล่มลงมาต่อหน้าต่อตาเธอ บางทีอาจเป็นเพราะม็อทแมน (Mothman) มีความผูกพันเป็นพิเศษกับเด็กๆ ซึ่งล่วงรู้ในสิ่งที่เธอไม่รู้ - เธอกำลังตั้งครรภ์ลูกแฝด ถึงแม้จะมีบางคนที่ยืนยันว่าเป็นเพราะเหล็กที่ใช้สร้างสะพานเกิดหักอย่างกะทันหัน แต่ก็มีรายงานจำนวนมากที่ระบุว่าเห็นแสงไฟสว่างวาบบนท้องฟ้าอันมืดมิดเหนือสะพานก่อนหน้าที่มันจะถล่ม

เชอร์โนบิล

เดือนเมษายนปี 1986 เกิดข่าวลือแพร่สะพัดในหมู่พนักงานทุกระดับของโรงงานไฟฟ้า ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ เมืองยูเครน (Ukraine) พนักงานทั้งชายและหญิงหลายคนต่างก็รายงานว่าได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาด ซึ่งมักจะเคลื่อนไหวไปมาอยู่ตลอดเวลา บางคนถึงกับฝันร้ายติดต่อกันหลายครั้ง บางคนก็ได้รับโทรศัพท์ข่มขวัญคุกคามอยู่บ่อยๆ อย่างน้อย 4 คนได้เคยเห็นสัตว์ประหลาดที่ใครๆต่างก็พูดกันว่าเป็นมนุษย์ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวดำ ปราศจากศีรษะ ทว่ามีปีกมหึมาติดอยู่ด้านหลังและมีดวงตาสีแดงเพลิง อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้าของวันเกิดเหตุนั้น ข่าวลือทั้งหลายต่างก็ต้องหยุดลงเมื่อถึงเวลาการทดสอบเตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 (Reactor 4) ตามตารางที่ได้กำหนดไว้แล้ว โดยได้มีการเตรียมพร้อมรับกับระดับพลังงานลดลงที่จะเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่หลายคนต่างก็มีความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัดว่า อาจเกิดเหตุหายนะบางอย่างขึ้นในโรงงานไฟฟ้าแห่งนี้ จากการที่พวกเขาได้รับสัญญาณเตือนลึกลับหลายๆคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขาจึงต้องการให้มีการเตรียมพร้อมสำหรับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้น เตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่ามีระดับพลังงานขั้นต่ำที่ผันแปรอยู่ตลอดเวลา และทันทีที่มันถูกเปิดเครื่องให้กำเนิดไฟฟ้าในตอนเช้าของวันที่ 26 เมษายน 1986 โรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์เชอร์โนบิลก็เกิดระเบิดขึ้น มีคนจำนวน 30 คนที่เสียชีวิตในเช้าวันนั้น และมากกว่า 10 คนที่ได้รับผลกระทบจากการแผ่กระจายของกัมมันตภาพรังสี แร่กราไฟท์ (graphite) ในเตาปฏิกรณ์นั้นต้องใช้เวลาในการเผาไหม้นานถึง 9 วัน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เกิดความเสียหายจากการแผ่รังสีไปทั่วพื้นที่แถบนั้น และในขณะที่เฮลิคอปเตอร์กำลังบินวนรอบๆบริเวณเพื่อโปรยทรายจำนวน 500 ตัน รวมทั้งดินเหนียว, ตะกั่วและสารเคมีอื่นๆลงบนกองเพลิง เหล่าพนักงานที่รอดชีวิตต่างก็จ้องมองด้วยความไม่เชื่อสายตาตนเอง ที่เห็นนกยักษ์สีดำขนาด 20 ฟุตกำลังบินวนเวียนอยู่ในกลุ่มควันจากเปลวไฟ

จีน
ในปี 1926 หนึ่งในเหตุการณ์หายนะทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นบริเวณเทือกเขาทางแถบภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งหนึ่งในเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ทว่าใหญ่เป็นอันดับสองของเขื่อนในประเทศจีน) คือ เขื่อนเซี่ยวเต (Xiaon Te) เขื่อนนี้ได้พังลงมาในตอนบ่ายแก่ๆของวันที่ 19 มกราคม 1926 ส่งผลให้น้ำจำนวนกว่า 40 พันล้านแกลลอนไหลทะลักลงสู่บริเวณพื้นที่เพาะปลูกอันสงบเงียบทางด้านใต้เขื่อน ประชาชนจำนวนกว่า 15,000 คนเสียชีวิต ขณะที่เมืองทั้งเมืองจมลงสู่กระแสอุทกภัยอันเชี่ยวกราก อย่างไรก็ตาม บ้านหลายหลังซึ่งถูกกระแสน้ำพัดกวาดไปไกลเป็นไมล์ๆกลับไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว ในบรรดาผู้รอดชีวิตแทบทุกรายต่างก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการได้เห็นหรือได้ยินเกี่ยวกับ "มนุษย์มังกร" ผู้มีร่างสีดำ ซึ่งมาปรากฏตัวต่อหน้าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายในบริเวณโดยรอบของที่เกิดเหตุ ผู้เห็นเหตุการณ์ได้ให้คำอธิบายถึงความหายนะครั้งนี้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก เนื่องจากบันทึกทางสถิติของหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ได้ถูกทำลายไป เมื่อครั้งที่ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ได้เข้ามามีอำนาจในประเทศจีน

เบอร์มิวด้า วันที่ 3 มิถุนายน 1983 อัลลิสัน แม็คคาร์รี่ย์ (Alison McCarrey) วางแผนที่จะทำตามฝันของตนและสามี เอริค (Eric) ในการไปเที่ยวชายหาดเบอร์มิวด้า ก่อนวันเดินทางหนึ่งวัน เธองีบหลับไปพักหนึ่งและตื่นขึ้นมาเพื่อรับโทรศัพท์ประหลาดๆ ซึ่งเธอบอกว่าได้ยินเสียงเหมือนรหัสมอร์ส (Morse Code) ส่งเสียงกรีดแหลมแสบแก้วหูและเต็มไปด้วยคลื่นแทรกรบกวน เธอคิดที่จะอัดเสียงจากโทรศัพท์นี้ให้สามีซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับรหัสมอร์สได้ฟัง แต่สายโทรศัพท์กลับถูกตัดไปเสียก่อน เธอจึงกลับไปงีบต่อและตื่นขึ้นมาในตอนเย็นจึงรู้ว่าได้เผลอหลับไปนานถึง 6 ชั่วโมงเลยทีเดียว ตั้งแต่นั้นเธอก็มัวแต่คิดถึงความฝันอันรบกวนจิตใจเกี่ยวกับร่างมนุษย์สีเทาที่มีปีกสีดำกำลังจ้องมองเธออยู่ ขณะที่เธอกำลังจมลงสู่ใจกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล สามีของเธอกลับถึงบ้านไม่นานหลังจากนั้น และเธอก็ไม่ได้เอ่ยถึงความฝันนั้นออกมาเลย

คืนเดียวกันนั้น เธอนอนไม่หลับและได้ยินเสียงสุนัขพันธุ์สก๊อตต์เทอร์เรียร์ของเธอเอาแต่ส่งเสียงคำราม และพยายามตะกุยพื้นหน้าประตูชั้นล่างอย่างแรง เธอจึงลงไปดูให้รู้และเมื่อมองออกไปนอกบ้าน เธอเล่าให้ฟังในตอนหลังว่า "ฉันอยากจะหัวเราะด้วยความไม่เชื่อสายตาตัวเอง แต่ฉันก็หัวเราะไม่ออก มันเหมือนกับมีมือมาบีบคอฉัน ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวมาก"

บนสนามหญ้าหน้าบ้านของเธอ ปรากฏร่างของชายรูปร่างสูงใหญ่มีปีกซึ่งเป็นคนๆเดียวกับที่เธอเห็นในฝันกำลังยืนอยู่ แล้วชายผู้นั้นก็บินตรงมายังหน้าต่างที่เธอมองออกมา "เขาไม่ได้ขยับเขยื้อนส่วนใดของร่างกายเลย เขาแค่ลอยมาใกล้ๆฉันอย่างทันทีทันใดก็เท่านั้น" แล้วด้วยเสียกรีดร้องอันเต็มไปด้วยความสยองขวัญของเธอก็ปลุกให้สามีเธอตื่นขึ้นมา และเขาก็มาพบเธอกำลังยืนตัวสั่นอยู่ตรงโถงทางเดินของบ้าน เธอเล่าเรื่องทั้งหมดให้สามีฟังพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วย จนกระทั่งในวันถัดไปเธอก็ยังไม่หายจากอาการตัวสั่น สามีของเธอจึงตัดสินใจเลื่อนการเดินทางออกไป

พวกเขาได้พบในเวลาต่อมา เมื่อเพื่อนๆได้โทร.มาหาด้วยความประหลาดใจที่ทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ เนื่องด้วยเครื่องบินที่คาดว่าทั้งสองจะโดยสารไปด้วยนั้น ได้หายสาบสูญไปในพายุที่เกิดขึ้นบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า และไม่มีใครได้ยินข่าวคราวจากมันอีกเลย


ชิคาโก้
ในปี 1951 มีสิ่งแปลกประหลาดหลายประการเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งความตื่นตระหนกต่อสีแดง, ความหวาดกลัวระเบิด และการตามล่าแม่มด ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็ตกอยู่ในอาการหวั่นไหวเล็กๆน้อยๆกับระยะเริ่มต้นของสงครามเย็น และเมืองชิคาโก้ก็ต้องประสบกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ หลายวันก่อนเกิดแผ่นดินไหว ผู้คนที่กำลังล่องเรือในทะเลสาบมิชิแกน (Lake Michigan) ต่างให้การว่ามองเห็นสัตว์ประหลาดร่างยักษ์สีดำหรือ "นกพิราบจากอเวจี" กำลังบินอยู่บริเวณเส้นขอบฟ้าของชิคาโก้ ส่วนพนักงานที่ทำงานล่วงเวลาบนตึกสูงก็รายงานว่ามองเห็นแสงไฟกระพริบวิบวับอยู่เหนือทะเลสาบมิชิแกนเช่นกัน ในวันเกิดแผ่นดินไหวคือวันที่ 5 พฤษภาคมก็มีรายงานหลายฉบับกล่าวถึงสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ ซึ่งตรงมาเคาะประตูบ้านของพวกเขา หรือที่ยิ่งแปลกไปกว่านั้นก็คือมาเคาะประตูตู้เสื้อผ้าหรือห้องส่วนตัวเลยทีเดียว หรือนี่จะเป็นความพยายามของ ม็อทแมน (Mothman) ที่จะปกป้องคุ้มภัยให้แก่พวกเขา? คู่สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่งได้เปิดประตูหน้าบ้านมาเผชิญหน้ากับร่างสีเทาขนาดใหญ่ ได้ก้าวเท้าออกมาจากบ้านอย่างไม่มีสติอยู่กับตนเองตรงไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ละแวกใกล้เคียง โดยมีดวงตาสีแดงของเจ้าสัตว์ประหลาดคอยบงการ และเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นจากการตกอยู่ในภวังค์ เจ้าสัตว์ประหลาดก็ได้หายตัวไปเสียแล้ว และแผ่นดินก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างแรง อพาร์ทเมนท์หลังที่พวกเขาอาศัยอยู่ที่ชั้นล่างสุดนั้นก็ถล่มลงมา และมีผู้เสียชีวิตในซากตึกนี้ถึง 12 คนซึ่งเป็นจำนวนของผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้

สงครามคาบสมุทรไครเมีย
หนึ่งในเรื่องราวอันแปลกประหลาดที่พอจะเชื่อมโยงกับม็อทแมน (Mothman) ก็คือหนึ่งในเรื่องราวเก่าแก่เรื่องนี้ ระหว่างเกิดสงครามคาบสมุทรไครเมีย การสู้รบนองเลือดครั้งดำเนินความรุนแรงนานถึง 6 วัน จนกระทั่งกองทหารของทั้งสองฝ่ายต่างก็พบว่าในวันถัดไปคือวันที่ 15 มีนาคม อันเป็นวันสำคัญตามปฏิทินโรมัน (The Ides of March) ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความเชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์อย่างรุนแรงพอๆกัน ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือผู้นำกองทัพต่างก็เห็นพ้องต้องกันที่จะกำหนดวันสงบศึก อย่างไรก็ตาม มีทหารรัสเซียจำนวน 5 คนได้วางแผนการดักซุ่มโจมตีศัตรูเพื่อให้การรบครั้งนี้เสร็จสิ้นไป โดยพวกเขาได้ออกมาวางแผนการล่วงล้ำเข้าสู่แดนข้าศึก โดยอาศัยแสงไฟจากตะเกียงจากค่ายพักของตนเอง กลางสนามรบที่จู่ๆอากาศก็เกิดอับทึบขึ้นอย่างกะทันหัน ทหารทั้ง 5 ต่างก็เงยหน้ามองขึ้นบนท้องฟ้าและเห็นนกยักษ์กำลังบินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา (หนึ่งในผู้รอดชีวิตได้ให้การว่ามันคืออีกา ซึ่งทำให้เรื่องนี้ถูกจัดเข้าไว้ในหมวดตำนานเกี่ยวกับอีกา ทว่ารายละเอียดอีกมากมายจากพยานคนอื่นๆกลับระบุไปที่ม็อทแมน (Mothman)) และพวกเขาต่างก็จ้องมองมันดุจต้องมนตร์เลยทีเดียว แล้วเมื่อพวกเขาหันกลับมามาไปด้านหลังก็พบว่าพวกตนได้ก้าวล้วงเข้ามาในเขตศัตรูเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่พวกเขาฉุกคิดขึ้นมาได้ถึงสิ่งที่พวกเขาเชื่อในฐานะกองทหารศัตรู พวกเขาก็ถูกทหารรักษาการณ์**censor**กระสุนเข้าใส่อย่างฉับพลัน เสียชีวิตทันทีถึง 3 คน ส่วนรายที่สี่ตกอยู่กลางวงล้อมของเพื่อนร่วมทีมและค่อยๆเสียเลือดจนตาย เหลือเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้จากการใช้ร่างกายของเพื่อนๆเป็นเกราะกำบัง

สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้มีความแปลกพิสดารมาจากคำให้การของทหารรักษาการณ์ฝ่ายรัสเซียที่เห็นเหตุการณ์ ทุกคนต่างก็สบถสาบานว่าทหารทั้ง 5 นายนั้นเป็นทหารฝ่ายชาวเติร์ค (Turkish) ซึ่งแต่งกายด้วยผ้าโพกศีรษะแบบแขกและเสื้อคลุมยาว กำลังส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยเสียงดังที่สุดเท่าที่จะดังได้ และตามติดมาด้วย ฝูงค้าวคาวยักษ์นับพันตัว เวลาเที่ยงคืนชาวเติร์คผู้โกรธเกรี้ยวกระทำแก้แค้นแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น คือภาพที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ของการสู้รบอันนองเลือดครั้งมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ

เยอรมันนี
อีกกรณีหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะสนับสนุนเรื่องราวของม็อทแมน (Mothman) คือเหตุการณ์ที่เขาช่วยชีวิตคนอย่างน้อย 21 คน กรรมกรที่มารายงานตัวตามหน้าที่เมื่อวันที่ 10 กันยายน 1978 ที่เหมืองถ่านหินในเมือง ฟรายบูร์ก (Freiburg) ประเทศเยอรมันนี เพื่อค้นหาทางเข้าสู่อุโมงค์เหมืองที่ถูกปิดด้วยฝีมือของร่างลึกลับสีดำน่าสะพรึงกลัวซึ่งมีปีกขนาดใหญ่อยู่ด้านหลัง กรรมกรหลายคนพยายามจะเข้าไปใกล้ตัวสัตว์ประหลาดและเข้าไปภายในเหมือง ด้วยความคิดแค่ว่ามันอาจจะเป็นเพียงวิญญาณที่มาปรากฏให้เห็นเพียงชั่วครู่ แต่แล้วพวกเขาก็ต้องถอยหนีกันออกมา เมื่อเจ้าสัตว์ประหลาดเกิดส่งเสียงกรีดแหลม "เหมือนเสียงกรีดร้องของมนุษย์ 50 คน" หรือ "เสียงเบรคของรถไฟ" ออกมา หลังจากการรอคอยผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง เหล่ากรรมกรก็เริ่มจัดการปัดกวาดทำความสะอาดบริเวณภายนอกของเหมือง ด้วยความหวังว่าเจ้าสัตว์ประหลาดจะหนีไป เวลาประมาณ 8.00 น. พื้นดินบริเวณนั้นก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจากแรงระเบิดใต้ดิน ม็อทแมน (Mothman) ได้จากไป - คงเหลือไว้ซึ่งเปลวไฟที่พวยพุ่งเป็นลำออกมาจากปากทางเข้าเหมือง เปลวไฟที่อาจจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดในทันที

6 เดือนต่อมา มีเพียงหนึ่งในสามของกรรมกรที่ยังคงทำงานอยู่ในเหมืองแห่งนี้ บางคนก็ได้เปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น ขณะที่อีกหลายคนก็ว่างงานและบางคนก็ไม่มีใครอยากจ้างเข้าทำงาน มีสองคนเท่านั้นที่ทุ่มเทตนเองให้กับการค้นหาความจริงที่เกิดขึ้นและเปิดเผยความจริงในโลกรับรู้ ทั้งคู่เสียชีวิตอย่างยากจนและน่าละอายตั้งแต่ยังหนุ่ม