หลายคนอาจเคยรู้มาบ้างแล้วว่าชาวกรีก-โรมันมีความเชื่อว่าโลกเรานี้แบน โดยมีแผ่นดินอยู่ตรงกลางและมีแม่น้ำล้อมรอบ มียอดเขาโอลิมปัสที่อาศัยของทวยเทพอยู่ใจกลางโลก ว่าแต่…แล้วโลกเกิดมาได้อย่างไรล่ะเดี๋ยวผมจะมาเล่าให้ฟังกันครับ
ต้นกำเนิดโลกในทรรศนะของกรีก-โรมันตามความเชื่อของชาวกรีก-โรมันเชื่อว่าก่อนที่โลกกลมๆใบนี้จะเกิดขึ้นนั้น แผ่นดิน น้ำและอวกาศยังปะปนกันโดยมีเทพองค์หนึ่งนามว่า เคออส(Chaos) ปกครองอยู่ร่วมกับชายานามว่านิกซ์หรือนอกซ์(Nyx/Nox) จนต่อมาลูกชายของทั้งสององค์คือ อีเรบัส(Erebus) เทพแห่งอนธกาล มาช่วย (น่าสนใจ...พ่อไร้รูป+แม่เทพีมืด=ลูกความมืด –ก็จะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะ-ผู้เขียน)
สิ่งแรกที่อีเรบัสทำก็คือปลดพ่อตัวเองลงจากตำแหน่งเพื่อขึ้นครองบัลลังก์แทนซะงั้น และแต่งงานกับแม่ตัวเอง แน่นอนสมัยนี้การแต่งงานกับพ่อหรือแม่ของตนเองเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจแต่ในสมัยนั้นยังไม่มีกฎ กติกา มารยาทใดกล่าวห้ามไว้จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่จะสมรสกับพ่อหรือแม่บังเกิดเกล้าของตัวเอง
อีเรบัสกับนิกซ์ก็มีลูกด้วยกันสององค์คือ อีเทอร์(Aether) และฮีเมรา(Hemera)แล้วก็เหมือนกรรมตามสนองเมื่อลูกทั้งสองพร้อมใจกันปลดพระบิดาและพระมารดาลงจากตำแหน่ง (น่าสงสารก็แต่นิกซ์ที่โดนปลดมาสองรอบแล้ว)
ด้วยความช่วยเหลือจากบรรดาเทพหลายๆองค์เช่น พอนตัสเทพแห่งทะเล(Pontus) กีอา/กี(Gaea/Ge) เทลลัสหรือเทอราเทพธรณี (Tellus/Terra) และอีรอสหรืออะมอร์เทพแห่งความรัก (Eros/Amor)-ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนเองก็ยังงงอยู่ว่าเป็นอีรอสองค์เดียวกับกามเทพหรือคิวปิดลูกของวีนัสรึเปล่า...ก็ชื่อเหมือนกันทำหน้าที่เดียวกันแต่อยู่คนละช่วงเวลานี่นา -*-
เมื่อโลกรวมกันเป็นโลกแล้วงานก็เหมือนจะเสร็จสิ้น ยกเว้นแต่ว่าบรรดาเทพทั้งหลายที่มานั่งมองหน้ากันด้วยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับโลกใบนี้ดี เทพอีรอสจึงหยิบเอาธนูผู้ให้ชีวิตแทงลงไปบนพื้นโลก ทันใดนั้นพื้นดินสีน้ำตาลก็เต็มไปด้วยสรรพชีวิตมากมายต้นไม้หลากหลายขนาดสารพัดชนิดแข่งกันชูช่อออกดอกออกผลกันเป็นการใหญ่ มีสายน้ำผุดขึ้นมาจากผิวดินไหลระเรื่อยไปเป็นแม่น้ำลงสู่ทะเลที่มีเทพพอนตัสดูแลอยู่
สิ่งแรกที่อีเรบัสทำก็คือปลดพ่อตัวเองลงจากตำแหน่งเพื่อขึ้นครองบัลลังก์แทนซะงั้น และแต่งงานกับแม่ตัวเอง แน่นอนสมัยนี้การแต่งงานกับพ่อหรือแม่ของตนเองเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจแต่ในสมัยนั้นยังไม่มีกฎ กติกา มารยาทใดกล่าวห้ามไว้จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่จะสมรสกับพ่อหรือแม่บังเกิดเกล้าของตัวเอง
อีเรบัสกับนิกซ์ก็มีลูกด้วยกันสององค์คือ อีเทอร์(Aether) และฮีเมรา(Hemera)แล้วก็เหมือนกรรมตามสนองเมื่อลูกทั้งสองพร้อมใจกันปลดพระบิดาและพระมารดาลงจากตำแหน่ง (น่าสงสารก็แต่นิกซ์ที่โดนปลดมาสองรอบแล้ว)
ด้วยความช่วยเหลือจากบรรดาเทพหลายๆองค์เช่น พอนตัสเทพแห่งทะเล(Pontus) กีอา/กี(Gaea/Ge) เทลลัสหรือเทอราเทพธรณี (Tellus/Terra) และอีรอสหรืออะมอร์เทพแห่งความรัก (Eros/Amor)-ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนเองก็ยังงงอยู่ว่าเป็นอีรอสองค์เดียวกับกามเทพหรือคิวปิดลูกของวีนัสรึเปล่า...ก็ชื่อเหมือนกันทำหน้าที่เดียวกันแต่อยู่คนละช่วงเวลานี่นา -*-
เมื่อโลกรวมกันเป็นโลกแล้วงานก็เหมือนจะเสร็จสิ้น ยกเว้นแต่ว่าบรรดาเทพทั้งหลายที่มานั่งมองหน้ากันด้วยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับโลกใบนี้ดี เทพอีรอสจึงหยิบเอาธนูผู้ให้ชีวิตแทงลงไปบนพื้นโลก ทันใดนั้นพื้นดินสีน้ำตาลก็เต็มไปด้วยสรรพชีวิตมากมายต้นไม้หลากหลายขนาดสารพัดชนิดแข่งกันชูช่อออกดอกออกผลกันเป็นการใหญ่ มีสายน้ำผุดขึ้นมาจากผิวดินไหลระเรื่อยไปเป็นแม่น้ำลงสู่ทะเลที่มีเทพพอนตัสดูแลอยู่
พิภพที่สร้างขึ้นมาในยุคนั้นตามความเชื่อของชาวกรีกเชื่อว่าเป็นรูปทรงเหมือนจานและมีบ้านเมืองของตนอยู่ตรงกลางโดยมีภูเขาโอลิมปัสซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของบรรดาเทพอยู่ที่ศูนย์กลาง
เทพเคออส อีเรบัส และนิกซ์ ล้วนแต่ถูกถอดถอนออกจากอำนาจโดยลูกของตนเหมือนเป็นวัฏจักรเมื่อต่อมา ยูเรนัส(Uranus) และกีอาทรงอำนาจมากกว่าบรรพบุรุษไม่ช้าก็บีบบังคับให้อีเทอร์และฮีเมราสละบัลลังก์
กีอาและยูเรนัสสมรสกันและให้กำเนิดอสุรเทพไททันส์(Titans)สิบสององค์ขึ้นมา ยูเรนัสเองก็เกรงว่ากรรมจะตามสนองจึงส่งลูกทั้งสิบสองเป็นหญิงหกชายหกลงไปขังไว้ที่ขุมนรกทาทาร์รัส(Tartarus)แล้วตรึงโซ่ตรวนไว้
ต่อมายูเรนัสก็ได้ลูกชายอีกสามจากชายากีอาเป็น ไซคลอปส์ (Cyclopes)สามตนและทั้งสามตนก็ตกที่นั่งเดียวกันกับพวกพี่ๆคือถูกส่งตัวไปยังทาร์ทารัสเช่นเดียวกันและก็เป็นอย่างเดียวกันกับน้องๆอีกสามคือ เซนติมานีเทพร้อยมือ (Centimani)
เทพเคออส อีเรบัส และนิกซ์ ล้วนแต่ถูกถอดถอนออกจากอำนาจโดยลูกของตนเหมือนเป็นวัฏจักรเมื่อต่อมา ยูเรนัส(Uranus) และกีอาทรงอำนาจมากกว่าบรรพบุรุษไม่ช้าก็บีบบังคับให้อีเทอร์และฮีเมราสละบัลลังก์
กีอาและยูเรนัสสมรสกันและให้กำเนิดอสุรเทพไททันส์(Titans)สิบสององค์ขึ้นมา ยูเรนัสเองก็เกรงว่ากรรมจะตามสนองจึงส่งลูกทั้งสิบสองเป็นหญิงหกชายหกลงไปขังไว้ที่ขุมนรกทาทาร์รัส(Tartarus)แล้วตรึงโซ่ตรวนไว้
ต่อมายูเรนัสก็ได้ลูกชายอีกสามจากชายากีอาเป็น ไซคลอปส์ (Cyclopes)สามตนและทั้งสามตนก็ตกที่นั่งเดียวกันกับพวกพี่ๆคือถูกส่งตัวไปยังทาร์ทารัสเช่นเดียวกันและก็เป็นอย่างเดียวกันกับน้องๆอีกสามคือ เซนติมานีเทพร้อยมือ (Centimani)
การกระทำของสวามีทำให้กีอาไม่พอใจอย่างมากจึงลงไปหาบรรดาลูกๆที่ขุมนรกทาร์ทารัสเพื่อยุยงส่งเสริมให้ลูกโค่นอำนาจจากพระราชบิดา โดยมีโอรสองค์หนึ่งที่เป็นองค์เล็กสุดในบรรดาไททันส์นามว่าโครนัสหรือที่รู้จักกันในนามแซเทิร์นเทพแห่งกาลเวลา(Cronus/Saturn) เกิดความฮึกเหิมที่จะไปต่อสู้กับพระบิดา กีอาได้ปล่อยเขาออกมาจากที่คุมขังพร้อมทั้งมอบอาวุธเป็นเคียวอาญาสิทธิ์ให้ และแล้วโครนัสก็จัดการกับพระบิดาได้ ก่อนที่จะสถาปนาตนเองขึ้นครองบัลลังก์นั้นยูเรนัสก็สาปแช่งให้โครนัสถูกลูกตัวเองขับไล่และยึดอำนาจเหมือนที่ตนได้ประสบ
โครนัสไม่ใส่ใจคำสาปแช่งของบิดา ขึ้นครองบัลลังก์ในที่สุดและได้เลือกเอาน้องสาวของตนนามว่ารีอา(Rhea)มาเป็นภรรยา ต่อมาเมื่อรีอาได้ให้กำเนิดทารกแก่โครนัส คำสาปแช่งของยูเรนัสก็ดังขึ้นมาในหัว ด้วยความรักตัวกลัวตายจึงสั่งให้รีอานำลูกที่เพิ่งเกิดมามอบให้ โดยไม่ฟังคำทักท้วงใดๆทั้งสิ้นโครนัสอ้าปากและกลืนทารกน้อยลงท้องไป
รีอาพยายามทุกครั้งที่เธอให้กำเนิดทารก อ้อนวอนให้โครนัสไว้ชีวิตลูกของเธอ จนกระทั่งลูกห้าคนถูกกลืนกินไปจนหมด รีอาก็ตั้งครรภ์อีก เธอตั้งใจว่าไม่ว่าอย่างไรทารกคนนี้ต้องอยู่รอดให้ได้
เมื่อครบกำหนดคลอดรีอาได้ให้กำเนิดทารกเพศชายออกมาและในทันใดนั้นโครนัสก็ได้ร้องเรียกเธอเพื่อกำจัดทารกน้อยที่เป็นเสี้ยนหนามของชีวิต รีอารีบเอาก้อนหินมาใส่ไว้แทนที่ทารกน้อย และเดินเข้าไปหาโครนัสด้วยน้ำตานองหน้ากอดก้อนหินเย็นชืดไว้แนบอกโครนัสหาได้สนใจน้ำตาของภรรยาไม่เขาฉวยห่อผ้านั้นมาและกลืนลงท้องไปโดยไม่ได้เปิดดูก่อนว่าข้างในนั้นจะใช่ทารกจริงรึเปล่า
ทางฝ่ายรีอาเองนั้นก็แกล้งทำเป็นกรรแสงก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป สองมือปิดหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มในความสำเร็จของการรักษาชีวิตลูกน้อย แต่ทารกนั้นไม่สามารถเลี้ยงไว้กับตัวได้
โครนัสไม่ใส่ใจคำสาปแช่งของบิดา ขึ้นครองบัลลังก์ในที่สุดและได้เลือกเอาน้องสาวของตนนามว่ารีอา(Rhea)มาเป็นภรรยา ต่อมาเมื่อรีอาได้ให้กำเนิดทารกแก่โครนัส คำสาปแช่งของยูเรนัสก็ดังขึ้นมาในหัว ด้วยความรักตัวกลัวตายจึงสั่งให้รีอานำลูกที่เพิ่งเกิดมามอบให้ โดยไม่ฟังคำทักท้วงใดๆทั้งสิ้นโครนัสอ้าปากและกลืนทารกน้อยลงท้องไป
รีอาพยายามทุกครั้งที่เธอให้กำเนิดทารก อ้อนวอนให้โครนัสไว้ชีวิตลูกของเธอ จนกระทั่งลูกห้าคนถูกกลืนกินไปจนหมด รีอาก็ตั้งครรภ์อีก เธอตั้งใจว่าไม่ว่าอย่างไรทารกคนนี้ต้องอยู่รอดให้ได้
เมื่อครบกำหนดคลอดรีอาได้ให้กำเนิดทารกเพศชายออกมาและในทันใดนั้นโครนัสก็ได้ร้องเรียกเธอเพื่อกำจัดทารกน้อยที่เป็นเสี้ยนหนามของชีวิต รีอารีบเอาก้อนหินมาใส่ไว้แทนที่ทารกน้อย และเดินเข้าไปหาโครนัสด้วยน้ำตานองหน้ากอดก้อนหินเย็นชืดไว้แนบอกโครนัสหาได้สนใจน้ำตาของภรรยาไม่เขาฉวยห่อผ้านั้นมาและกลืนลงท้องไปโดยไม่ได้เปิดดูก่อนว่าข้างในนั้นจะใช่ทารกจริงรึเปล่า
ทางฝ่ายรีอาเองนั้นก็แกล้งทำเป็นกรรแสงก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป สองมือปิดหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มในความสำเร็จของการรักษาชีวิตลูกน้อย แต่ทารกนั้นไม่สามารถเลี้ยงไว้กับตัวได้
ความเดิมจากตอนที่แล้ว...หลังจากที่เทพมารดารีอาแกล้งนำก้อนหินห่อผ้าส่งให้พระสวามีสวาปามเข้าไปแล้ว เธอก็วิ่งออกจากห้องไป เมื่อกลับไปที่ห้องบรรทมก็จ้องมองลูกน้อยที่เพิ่งรอดชีวิตมาหยกๆ พลางคิดว่าเธอจะเลี้ยงดูเทพทารกองค์น้อยนี้ได้อย่างไร ถ้าลูกอยู่กับเธอซักวันความลับก็ต้องถูกเปิดเผย
ดังนั้นทารกน้อยจึงถูกเธอส่งไปไว้ที่เกาะครีตบนยอดภูเขาไอดา และให้นางแพะที่ชื่อว่าอมัลธีอา(Amaltheia)เป็นแม่นม ทารกคนนั้นมีชื่อเพราะพริ้งว่า จูปิเตอร์(Jupiter) ทารกน้อยจูปิเตอร์หรือโจฟนี้มีพี่เลี้ยงเป็นบรรดานางไม้มีเลียน(Meline Nymphs)
และเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงร้องไห้ของทารกดังขึ้นไปถึงยอดเขาโอลิมปัส นักบวชในกลุ่มของเทพีรีอาที่มีชื่อเรียกว่าคิวเรตีส(Curetis) ก็มักจะร้องเพลงสงครามบ้าง ทั้งส่งเสียงหวีดร้อง บ้างก็ทำเสียงดังโฉ่งฉ่างเพื่อกลบเสียงร้องของทารกนั้นเสีย เทพโครนัสไม่ได้เอะใจเลยแม้แต่น้อยว่าโอรสยังคงมีชีวิตอยู่ต่ำลงไปเบื้องล่าง
ดังนั้นทารกน้อยจึงถูกเธอส่งไปไว้ที่เกาะครีตบนยอดภูเขาไอดา และให้นางแพะที่ชื่อว่าอมัลธีอา(Amaltheia)เป็นแม่นม ทารกคนนั้นมีชื่อเพราะพริ้งว่า จูปิเตอร์(Jupiter) ทารกน้อยจูปิเตอร์หรือโจฟนี้มีพี่เลี้ยงเป็นบรรดานางไม้มีเลียน(Meline Nymphs)
และเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงร้องไห้ของทารกดังขึ้นไปถึงยอดเขาโอลิมปัส นักบวชในกลุ่มของเทพีรีอาที่มีชื่อเรียกว่าคิวเรตีส(Curetis) ก็มักจะร้องเพลงสงครามบ้าง ทั้งส่งเสียงหวีดร้อง บ้างก็ทำเสียงดังโฉ่งฉ่างเพื่อกลบเสียงร้องของทารกนั้นเสีย เทพโครนัสไม่ได้เอะใจเลยแม้แต่น้อยว่าโอรสยังคงมีชีวิตอยู่ต่ำลงไปเบื้องล่าง
ซีอุสกับแม่นม อมัลธีอาแล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่เทพยูเรนัสได้สาปแช่งไว้ ครั้นโจฟเติบใหญ่เป็นหนุ่มล่ำก็รวบรวมบรรดาทวยเทพองค์อื่นๆที่ค่อนข้างไม่ชอบการปกครองของโครนัสแล้วยกทัพขึ้นสู้รบกับบรรดาเทพวงศ์ไททันส์ ฝ่ายอสุรเทพไททันส์มีแอตลาส(Atlas)เป็นขุนพลใหญ่ ส่วนทางด้่านจูปิเตอร์นั้นมีกำลังหลักเป็นยักษ์ไซคลอปส์ที่เจ็บแค้นฝ่ายไททันส์เป็นทุนเดิม ก็เพราะว่าไททันส์นั้นเอาพวกไซคลอปส์มาเป็นทาสรับใช้นั่นเอง ทางด้านไซคลอปส์ที่เคยเป็นทาสของฝ่ายตรงข้ามก็รีบหันมาเข้าพวกกับจูปิเตอร์ทันที และยังนำอาวุธร้ายของพวกไททันส์คือสายฟ้ามามอบให้เสียอีก ด้วยพละกำลังและแสนยานุภาพในที่สุดโจฟก็ชนะและขึ้นครองบัลลังก์ ก็เป็นธรรมดาที่ผู้แพ้จะต้องถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ไททันส์จำนวนมากถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดิน ยกเว้นแม่ทัพใหญ่คือแอตลาสที่โดนโทษหนักหน่อย...ก็แค่ถูกลงโทษให้ยืนแบกสวรรค์ตลอดกาลเท่านั้นเองจนมีอยู่ช่วงหนึ่ง---ยังไม่เล่าดีกว่า เก็บไว้ก่อน อิอิ
แอตลาสแบกสวรรค์แต่ไม่ใช่ไททันส์ทุกตนจะโดนจองจำนะคะ ยังมีไททันส์บางส่วนที่มีความเป็นกลาง เรียกว่าเป็นพวกไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดว่างั้นเถอะ ก็ยังสามารถอยู่กับรัฐบาลใหม่ได้อย่างสบาย อาทิเช่น โอเชียนนุส(Ociennus)และไฮเปอเรียน(Hyperion)
เมื่อชนะสงครามแล้วเจ้าสวรรค์องค์ใหม่จึงมอบหมายให้เมทิส(Metis)ลูกสาวของโอเชียนนุส ปรุงยาวิเศษขึ้นเพื่อให้โครนัสขยอกเอาพี่ๆทั้งห้าของตนออกมา อันได้แก่ เนปจูน(์Naptune)พลูโต(Pluto) เวสต้า(Vesta) ซีรีส(Ceres) และจูโน่(Juno)
ก็อย่างที่เราๆท่านๆรู้กันนะคะ เนปจูน ได้เป็นเจ้าผู้ครองแผ่นน้ำ พลูโต ก็เป็นใหญ่ในยมโลก เวสต้าเป็นเทพีแห่งคหกรรม ซีรีสเป็นโพสพเทวี คล้ายๆบ้านเรานั่นแล และสุดท้าย จูโน่ กลายเป็นชายาเอกของจูปิเตอร์(ก็ว่า...ทำไมถึงเกรงใจจัง)
หลังจากที่เพลี่ยงพล้ำตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แก่โอรสของตนเองแล้วจึงยกพลพรรครักเอยไปอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าเฮสเพอเรียหรืออิตาลีในปัจจุบันนั่นเอง
แต่ก็แน่นอนการขึ้นครองบัลลังก์ของโจฟก็ใช่ว่าจะเป็นสุขไปเสียทีเดียวนะคะ วันหนึ่งเทพีกีอาก็ทรงสร้างอสูรร้ายกาจขึ้นมาตนหนึ่งนามว่าไทฟอน(Typhon)ลักษณะน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ที่ลำตัวนั้นมีมังกรร้อยหัวโผล่ออกมา ดวงตา จมูก และปากมีเปลวไฟบรรลัยกัลป์พวยพุ่งตลอดเวลา ทำให้ทวยเทพที่สิงขรโอลิมปัสหวาดกลัวอย่างแรงจนพากันลี้ภัยไปอยู่ที่อียิปต์นู่นเชียว การไปในครั้งนั้นบรรดาเทพต่างแปลงกายเป็นสัตว์ต่างๆเพื่อที่เจ้าอสูรไทฟอนจะไม่สามารถจำได้ เช่น จูปิเตอร์เองนั้นแปลงร่างเป็นแกะ เทพีจูโน่กลายร่างเป็นวัว
เมื่อชนะสงครามแล้วเจ้าสวรรค์องค์ใหม่จึงมอบหมายให้เมทิส(Metis)ลูกสาวของโอเชียนนุส ปรุงยาวิเศษขึ้นเพื่อให้โครนัสขยอกเอาพี่ๆทั้งห้าของตนออกมา อันได้แก่ เนปจูน(์Naptune)พลูโต(Pluto) เวสต้า(Vesta) ซีรีส(Ceres) และจูโน่(Juno)
ก็อย่างที่เราๆท่านๆรู้กันนะคะ เนปจูน ได้เป็นเจ้าผู้ครองแผ่นน้ำ พลูโต ก็เป็นใหญ่ในยมโลก เวสต้าเป็นเทพีแห่งคหกรรม ซีรีสเป็นโพสพเทวี คล้ายๆบ้านเรานั่นแล และสุดท้าย จูโน่ กลายเป็นชายาเอกของจูปิเตอร์(ก็ว่า...ทำไมถึงเกรงใจจัง)
หลังจากที่เพลี่ยงพล้ำตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แก่โอรสของตนเองแล้วจึงยกพลพรรครักเอยไปอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าเฮสเพอเรียหรืออิตาลีในปัจจุบันนั่นเอง
แต่ก็แน่นอนการขึ้นครองบัลลังก์ของโจฟก็ใช่ว่าจะเป็นสุขไปเสียทีเดียวนะคะ วันหนึ่งเทพีกีอาก็ทรงสร้างอสูรร้ายกาจขึ้นมาตนหนึ่งนามว่าไทฟอน(Typhon)ลักษณะน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ที่ลำตัวนั้นมีมังกรร้อยหัวโผล่ออกมา ดวงตา จมูก และปากมีเปลวไฟบรรลัยกัลป์พวยพุ่งตลอดเวลา ทำให้ทวยเทพที่สิงขรโอลิมปัสหวาดกลัวอย่างแรงจนพากันลี้ภัยไปอยู่ที่อียิปต์นู่นเชียว การไปในครั้งนั้นบรรดาเทพต่างแปลงกายเป็นสัตว์ต่างๆเพื่อที่เจ้าอสูรไทฟอนจะไม่สามารถจำได้ เช่น จูปิเตอร์เองนั้นแปลงร่างเป็นแกะ เทพีจูโน่กลายร่างเป็นวัว
ในไม่ช้าบรรดาเทพก็รู้สึกอับอายที่จะต้องหลบหนีอยู่แบบนี้ ภายใต้การนำของจูปิเตอร์ที่ยกทัพกลับไปที่โอลิมปัสนั้นก็เพื่อสังหารไทฟอนเสีย สงครามย่อยๆแต่ยาวนานได้เกิดขึ้น จนในที่สุดจูปิเตอร์ก็เป็นฝ่ายชนะ
อย่างที่คิดกันแหล่ะค่ะ ไม่นานนักกีอาก็ส่งอสูรร้ายมาอีกตน นามว่าเอนซีลาดัส(Enceladus) อืม...ตัวนี้หน้าตาเป็นไงน๊า...คิคิ อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ พยายามหารูปมาให้ดูกันแต่ไม่สามารถอ่ะค่ะ เอาไว้หาเจอก่อนนะคะ เอนซีลาดัสถูกโค่นลงได้ในที่สุดและจูปิเตอร์ก็จับมันขังไว้ในถ้ำใต้ภูเขาแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าเอตน่า(Aetna)ช่วงแรกมันจะคำรามและพยายามพ่นไฟขึ้นมาทำร้ายผู้จับมันขังไว้
บัดนี้โจฟมีชัยเหนือศัตรูทั้งปวงและอยู่อย่าสุขโขสโมสรบนยอดสิงขรโอลิมปัส และในที่สุดเมื่อพวกไททันส์คิดได้ว่าการยอมรับจูปิเตอร์ไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไรนัก จึงยอมอ่อนข้อและศิโรราบให้เจ้าสวรรค์ในที่สุด
อย่างที่คิดกันแหล่ะค่ะ ไม่นานนักกีอาก็ส่งอสูรร้ายมาอีกตน นามว่าเอนซีลาดัส(Enceladus) อืม...ตัวนี้หน้าตาเป็นไงน๊า...คิคิ อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ พยายามหารูปมาให้ดูกันแต่ไม่สามารถอ่ะค่ะ เอาไว้หาเจอก่อนนะคะ เอนซีลาดัสถูกโค่นลงได้ในที่สุดและจูปิเตอร์ก็จับมันขังไว้ในถ้ำใต้ภูเขาแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าเอตน่า(Aetna)ช่วงแรกมันจะคำรามและพยายามพ่นไฟขึ้นมาทำร้ายผู้จับมันขังไว้
บัดนี้โจฟมีชัยเหนือศัตรูทั้งปวงและอยู่อย่าสุขโขสโมสรบนยอดสิงขรโอลิมปัส และในที่สุดเมื่อพวกไททันส์คิดได้ว่าการยอมรับจูปิเตอร์ไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไรนัก จึงยอมอ่อนข้อและศิโรราบให้เจ้าสวรรค์ในที่สุด
จากคราวที่แล้ว หลังจากการขึ้นครองบัลลังก์ของโจฟได้ไม่นาน เจ้าสวรรค์ก็มีความรู้สึกว่าโลกนี้ช่างเงียบเหงาวังเวงเสียนี่กระไร ท้าวเธอจึงรับสั่งเรียกอีรอสเข้ามาพบแล้วปรารภว่าอยากให้โลกนี้มีสีสันทำอย่างไรดี เจ้าจงไปคิดมา
เทพอีรอสเทพแห่งความรักก็ได้นิ่งคิดแล้วเรียก โพรมีทีอัส (Prometheus) และ อีพิมีทีอัส(Epimetheus) บุตรแห่ง ไออาพีทัส (Iapetus) และ ไคลมินี(Clymene) มาช่วยพระองค์
อีพิมีทีอัสผู้น้องได้เสกสรรปั้นแต่งบรรดาสัตว์เดรัชฉานทั้งหลาย เขาได้ให้อาวุธป้องกันตัวแก่สัตว์เหล่านั้นไปจนหมดสิ้น ทั้งเขี้ยว เล็บ ขนหยาบหนา และพละกำลัง (ดีแค่ไหนคะที่อีพิมีทีอัสเอาเขี้ยว เล็บ ขนหยาบหนา ให้สรรพสัตว์ไปหมด แฮ่ะๆจริงๆไม่ต้องเหลือไว้ให้มนุษย์ก็ดีค่ะ)เมื่อโพรมีทีอัสกลับมาเห็นสรรพสัตว์ที่กำลังวิ่งวุ่นวายอยู่ในที่พักก็ตกใจ ว่าน้องไม่รู้จักยั้งคิดเสียก่อน เขาได้แต่ส่ายหัวแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานที่ตนตั้งใจไว้
และแล้วผลงานของโพรมีทีอัสก็เสร็จสิ้น สิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาได้ถอดแบบมาจากบรรดาเทพเจ้า เป็นสัตว์สวยสง่า ยืนด้วยสองขาหลัง กระดูกสันหลังตั้งฉากกับพื้นโลก เทพอีรอสได้เป่าลมหายใจเข้าไปเป็นการมอบจิตใจให้ ส่วนเทพีมินอร์วาได้มอบวิญญาณให้ มนุษย์จึงมีชีวิตเคลื่อนไหวได้ – มนุษย์ตนแรกเป็นผู้ชายค่ะ และก็มีเพศชายเพียงเพศเดียวจนกระทั่ง...เกิดเรื่องราวต่อมา ยังไม่เล่าค่ะ ค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้นตอน
เทพอีรอสเทพแห่งความรักก็ได้นิ่งคิดแล้วเรียก โพรมีทีอัส (Prometheus) และ อีพิมีทีอัส(Epimetheus) บุตรแห่ง ไออาพีทัส (Iapetus) และ ไคลมินี(Clymene) มาช่วยพระองค์
อีพิมีทีอัสผู้น้องได้เสกสรรปั้นแต่งบรรดาสัตว์เดรัชฉานทั้งหลาย เขาได้ให้อาวุธป้องกันตัวแก่สัตว์เหล่านั้นไปจนหมดสิ้น ทั้งเขี้ยว เล็บ ขนหยาบหนา และพละกำลัง (ดีแค่ไหนคะที่อีพิมีทีอัสเอาเขี้ยว เล็บ ขนหยาบหนา ให้สรรพสัตว์ไปหมด แฮ่ะๆจริงๆไม่ต้องเหลือไว้ให้มนุษย์ก็ดีค่ะ)เมื่อโพรมีทีอัสกลับมาเห็นสรรพสัตว์ที่กำลังวิ่งวุ่นวายอยู่ในที่พักก็ตกใจ ว่าน้องไม่รู้จักยั้งคิดเสียก่อน เขาได้แต่ส่ายหัวแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานที่ตนตั้งใจไว้
และแล้วผลงานของโพรมีทีอัสก็เสร็จสิ้น สิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาได้ถอดแบบมาจากบรรดาเทพเจ้า เป็นสัตว์สวยสง่า ยืนด้วยสองขาหลัง กระดูกสันหลังตั้งฉากกับพื้นโลก เทพอีรอสได้เป่าลมหายใจเข้าไปเป็นการมอบจิตใจให้ ส่วนเทพีมินอร์วาได้มอบวิญญาณให้ มนุษย์จึงมีชีวิตเคลื่อนไหวได้ – มนุษย์ตนแรกเป็นผู้ชายค่ะ และก็มีเพศชายเพียงเพศเดียวจนกระทั่ง...เกิดเรื่องราวต่อมา ยังไม่เล่าค่ะ ค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้นตอน
โพรมีทีอัสผู้พี่ได้เกิดความรักในสิ่งที่ตนสร้างขึ้นอย่างเหลือเกินจึงคิดมอบของขวัญอันพิเศษสุดให้แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาทบทวนดูว่าสิ่งใดที่มนุษย์ต้องการ ในเมื่อโลก ณ เวลานั้นเต็มไปด้วยความสะดวกสบายทุกสิ่ง มีผลไม้ใีห้เก็บกินอย่างเหลือเฟือ แม่น้ำ ลำธารไหลริน มีแม้กระทั่งน้ำผึ้งหวานหอมที่หยดหยาดจากรวงผึ้งสีทองอร่าม อย่างนี้แล้วมนุษย์จะยังต้องการอะไรอีกเล่า
ท่ามกลางความสว่างในตอนกลางวันช่างเป็นเวลาที่สวยงามเสียนี่กระไร แล้วเมื่อยามสนธยาย่างกรายมาถึงโลกนี้ก็พลันมืดมิด ไฟ! สิ่งที่มนุษย์สมควรได้รับคือไฟนั่นเอง แต่เขาจะอาจหาญเอามาได้อย่างไร ในเมื่อไฟนั้นเป็นเอกสิทธิ์ของทวยเทพไม่มีทางที่บรรดาเทพจะยินยอมให้ในสิ่งที่สูงค่าอย่างนั้น มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือการขโมยเอา
คิดได้ดังนั้นโพรมีทีอัสของเราก็ได้จรลีไปยังยอดเขาโอลิมปัสเพื่อหาทางขโมยเอาไฟมาให้มนุษย์ เมื่อสบโอกาสเขาก็ฉวยเอาไฟกองเล็กๆมากองหนึ่งซ่อนไว้ในอกเสื้อแล้วส่งไปให้มนุษย์ที่รับมาด้วยความสำนึกในพระคุณ
โพรมีทีอัสขโมยไฟจากสวรรค์
ไม่นานสิ่งที่โพรมีทีอัสคิดไว้ก็เป็นจริงเมื่อ จูปิเตอร์เองทัศนาลงมาจากยอดเขาโอลิมปัสเห็นแสงสว่างวับแวมผิดปกติ จึงสังเกตดูและสืบพบว่าตัวการของเรื่ืองนี้คือ โพรมีทีอัส นั่นเอง จูปิเตอร์โกรธมากที่เทพของท่านเองกล้ากระตุกหนวดเสือเช่นนี้ ถึงกับออกปากว่าจะลงโทษโพรมีทีอัสอย่างเต็มที่ โทษที่โพรมีทีอัสได้รับคือการถูกมัดติดไว้ที่ชะง่อนผาและมีพญาแร้งตัวมหึมาคอยตะกุยเนื้อที่สีข้างให้เป็นรูเพื่อจิกเอาตับออกมากิน การลงทัณฑ์นี้วนเวียนอยู่เป็นเวลานาน
เมื่อถึงเวลากลางคืนที่พญาแร้งกลับไปเกาะคอนนอนแล้ว บาดแผลที่ได้รับเมื่อตอนกลางวันก็จะสมานกันดังเดิม ตับของโพรมีทีอัสก็จะเติบโตขึ้นใหม่
ครั้นเมื่อเทพอพอลโลชักรถเทียมม้าออกสู่ฟากฟ้า ให้แสงสว่างส่องกระจ่างไปทั่วโลกพญาแร้งก็จะกลับมาทำหน้าที่ของตนเช่นเดิม เป็นอย่างนี้ยาวนาน จนกระทั่งมีผู้มาช่วยนามว่า เฮอร์คิวลิส (Herculis) ซึ่งจะได้กล่าวถึงในคราวต่อไป
ค่ะ ต่อไปเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับอิพิมีทีอัสคนน้องบ้างละนะคะ หลังจากที่จูปิเตอร์ได้ลงทัณฑ์โพรมีทีอัสไปแล้วก็ได้ทรงคิดแค้นบรรดามนุษย์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง จึงได้เรียกรวมประชุมเทพทั้งหมดเพื่อหาทางแก้แค้น
มนุษย์เพศหญิงคนแรกจึงได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นการแก้แค้นนั่นเองค่ะ หญิงสาวสวยสะคราญนางนี้มีนามว่า แพนดอร่า (Pandora) จูปิเตอร์ได้ส่งนางไปให้โพรมีทีอัสแต่เขาปฏิเสธเพราะเชื่อว่าสิ่งใดก็ตามที่มาจากเทพเจ้านั้นน่าจะไม่ดีต่อเขาเป็นแน่ แต่น้องชายของเขาไม่เป็นเช่นนั้น
เพียงแค่ได้พบหน้าน้องนางก็เล่นเอาใจละลาย อิพิมีทีอัสรีบรับนางไว้ในอ้อมแขนอย่างเต็มอกเต็มใจ แม้ว่าพี่ชายจะว่าอย่างไรเขาก็หาฟังไม่ ทั้งสองอาศัยอยู่ด้วยกันในถ้ำของอิพิมีทีอัส แต่ละวันที่ผ่านไปช่างมีความสุขเสียนี่กระไร อีพิมีทีอัสมักจะออกไปนอกถ้ำเพื่อเดินเล่นในผืนป่าเขียวชอุ่มร่วมกับแพนดอร่า อยู่มาวันหนึ่งเมอร์คิวรีได้เดินทางผ่านมาบริเวณผืนป่าที่ทั้งสองกำลังเดินเล่นกันอยู่ด้วยสภาพเนื้อตัวมอมแมม บนบ่าแบกหีบไม้ใบใหญ่สวยงามเอาไว้ ตามประสาผู้หญิงแพนดอร่านึกสงสัยถึงสิ่งที่อยู่ในหีบ นางจึงแอบกระซิบให้สามีสอบถามว่ามีสิ่งใดอยู่ในหีบใหญ่นั้น
แต่เมอร์คิวรี่เลี่ยงที่จะไม่ตอบแล้วจากไปโดยสั่งไว้ว่าขอฝากหีบใบนี้ไว้และห้ามเปิดหีบใบนี้เด็ดขาด อิพิมีทีอัสก็ยกหีบไปไว้ที่มุมถ้ำโดยไม่ได้สนใจอะไรต่อไป เป็นฝ่ายหญิงนั่นเองที่เกิดความสงสัยหนักเข้าไปอีก ยิ่งเจ้าของห้ามยิ่งอยากรู้ว่าอะไรอยู่ข้างในเธอเดินไปเยี่ยมๆมองๆอยู่พักหนึ่ง พยามยามแง้มเปิดฝากล่องสักหน่อยเพียงแค่ขอแอบมองเข้าไปนิดเดียวเท่านั้นเอง
อิพิมีทีอัสเห็นท่าทางของนางก็ได้กล่าวกับนางว่า สิ่งนี้ไม่ใช่ของของเรา เราไม่ควรจะไปยุ่ง ยิ่งเจ้าของเขาสั่งห้ามไว้ขนาดนั้นแล้วยิ่งไม่ควรเป็นอย่างยิ่งทำให้เธอขัดเคืองใจเป็นอย่างมาก ถึงกับงอนหนีไปนั่งอยู่ท้ายถ้ำ อิพิมีทีอัสพยายามชวนนางออกไปเดินเล่นข้างนอกนางก็ไม่ไป จนกระทั่งเขาเกิดความรำคาญและเดินจากไปลำพัง คิดว่าเมื่อเขาจากไปซักพักนางอาจอารมณ์ดีขึ้นและคงกลับมาน่ารักเหมือนเดิม
เมื่ออิพิมีทีอัสจากไปนางก็ยิ่งเดินงุ่นง่านไปมาเหมือนเสือติดจั่น จนกระทั่งนางรู้สึกหรือคิดว่าตนเองรู้สึกว่าได้ยินเสียงดังมาจากในหีบ นางเดินเข้าไปใกล้ๆหีบและยืนลังเลอยู่ด้วยความไม่แน่ใจ จะมีเสียงดังออกมาจากหีบได้อย่างไร นางจึงเอาหูไปแนบ มีเสียงดังออกมาจากหีบจริงๆ
ท่ามกลางความสว่างในตอนกลางวันช่างเป็นเวลาที่สวยงามเสียนี่กระไร แล้วเมื่อยามสนธยาย่างกรายมาถึงโลกนี้ก็พลันมืดมิด ไฟ! สิ่งที่มนุษย์สมควรได้รับคือไฟนั่นเอง แต่เขาจะอาจหาญเอามาได้อย่างไร ในเมื่อไฟนั้นเป็นเอกสิทธิ์ของทวยเทพไม่มีทางที่บรรดาเทพจะยินยอมให้ในสิ่งที่สูงค่าอย่างนั้น มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือการขโมยเอา
คิดได้ดังนั้นโพรมีทีอัสของเราก็ได้จรลีไปยังยอดเขาโอลิมปัสเพื่อหาทางขโมยเอาไฟมาให้มนุษย์ เมื่อสบโอกาสเขาก็ฉวยเอาไฟกองเล็กๆมากองหนึ่งซ่อนไว้ในอกเสื้อแล้วส่งไปให้มนุษย์ที่รับมาด้วยความสำนึกในพระคุณ
โพรมีทีอัสขโมยไฟจากสวรรค์
ไม่นานสิ่งที่โพรมีทีอัสคิดไว้ก็เป็นจริงเมื่อ จูปิเตอร์เองทัศนาลงมาจากยอดเขาโอลิมปัสเห็นแสงสว่างวับแวมผิดปกติ จึงสังเกตดูและสืบพบว่าตัวการของเรื่ืองนี้คือ โพรมีทีอัส นั่นเอง จูปิเตอร์โกรธมากที่เทพของท่านเองกล้ากระตุกหนวดเสือเช่นนี้ ถึงกับออกปากว่าจะลงโทษโพรมีทีอัสอย่างเต็มที่ โทษที่โพรมีทีอัสได้รับคือการถูกมัดติดไว้ที่ชะง่อนผาและมีพญาแร้งตัวมหึมาคอยตะกุยเนื้อที่สีข้างให้เป็นรูเพื่อจิกเอาตับออกมากิน การลงทัณฑ์นี้วนเวียนอยู่เป็นเวลานาน
เมื่อถึงเวลากลางคืนที่พญาแร้งกลับไปเกาะคอนนอนแล้ว บาดแผลที่ได้รับเมื่อตอนกลางวันก็จะสมานกันดังเดิม ตับของโพรมีทีอัสก็จะเติบโตขึ้นใหม่
ครั้นเมื่อเทพอพอลโลชักรถเทียมม้าออกสู่ฟากฟ้า ให้แสงสว่างส่องกระจ่างไปทั่วโลกพญาแร้งก็จะกลับมาทำหน้าที่ของตนเช่นเดิม เป็นอย่างนี้ยาวนาน จนกระทั่งมีผู้มาช่วยนามว่า เฮอร์คิวลิส (Herculis) ซึ่งจะได้กล่าวถึงในคราวต่อไป
ค่ะ ต่อไปเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับอิพิมีทีอัสคนน้องบ้างละนะคะ หลังจากที่จูปิเตอร์ได้ลงทัณฑ์โพรมีทีอัสไปแล้วก็ได้ทรงคิดแค้นบรรดามนุษย์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง จึงได้เรียกรวมประชุมเทพทั้งหมดเพื่อหาทางแก้แค้น
มนุษย์เพศหญิงคนแรกจึงได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นการแก้แค้นนั่นเองค่ะ หญิงสาวสวยสะคราญนางนี้มีนามว่า แพนดอร่า (Pandora) จูปิเตอร์ได้ส่งนางไปให้โพรมีทีอัสแต่เขาปฏิเสธเพราะเชื่อว่าสิ่งใดก็ตามที่มาจากเทพเจ้านั้นน่าจะไม่ดีต่อเขาเป็นแน่ แต่น้องชายของเขาไม่เป็นเช่นนั้น
เพียงแค่ได้พบหน้าน้องนางก็เล่นเอาใจละลาย อิพิมีทีอัสรีบรับนางไว้ในอ้อมแขนอย่างเต็มอกเต็มใจ แม้ว่าพี่ชายจะว่าอย่างไรเขาก็หาฟังไม่ ทั้งสองอาศัยอยู่ด้วยกันในถ้ำของอิพิมีทีอัส แต่ละวันที่ผ่านไปช่างมีความสุขเสียนี่กระไร อีพิมีทีอัสมักจะออกไปนอกถ้ำเพื่อเดินเล่นในผืนป่าเขียวชอุ่มร่วมกับแพนดอร่า อยู่มาวันหนึ่งเมอร์คิวรีได้เดินทางผ่านมาบริเวณผืนป่าที่ทั้งสองกำลังเดินเล่นกันอยู่ด้วยสภาพเนื้อตัวมอมแมม บนบ่าแบกหีบไม้ใบใหญ่สวยงามเอาไว้ ตามประสาผู้หญิงแพนดอร่านึกสงสัยถึงสิ่งที่อยู่ในหีบ นางจึงแอบกระซิบให้สามีสอบถามว่ามีสิ่งใดอยู่ในหีบใหญ่นั้น
แต่เมอร์คิวรี่เลี่ยงที่จะไม่ตอบแล้วจากไปโดยสั่งไว้ว่าขอฝากหีบใบนี้ไว้และห้ามเปิดหีบใบนี้เด็ดขาด อิพิมีทีอัสก็ยกหีบไปไว้ที่มุมถ้ำโดยไม่ได้สนใจอะไรต่อไป เป็นฝ่ายหญิงนั่นเองที่เกิดความสงสัยหนักเข้าไปอีก ยิ่งเจ้าของห้ามยิ่งอยากรู้ว่าอะไรอยู่ข้างในเธอเดินไปเยี่ยมๆมองๆอยู่พักหนึ่ง พยามยามแง้มเปิดฝากล่องสักหน่อยเพียงแค่ขอแอบมองเข้าไปนิดเดียวเท่านั้นเอง
อิพิมีทีอัสเห็นท่าทางของนางก็ได้กล่าวกับนางว่า สิ่งนี้ไม่ใช่ของของเรา เราไม่ควรจะไปยุ่ง ยิ่งเจ้าของเขาสั่งห้ามไว้ขนาดนั้นแล้วยิ่งไม่ควรเป็นอย่างยิ่งทำให้เธอขัดเคืองใจเป็นอย่างมาก ถึงกับงอนหนีไปนั่งอยู่ท้ายถ้ำ อิพิมีทีอัสพยายามชวนนางออกไปเดินเล่นข้างนอกนางก็ไม่ไป จนกระทั่งเขาเกิดความรำคาญและเดินจากไปลำพัง คิดว่าเมื่อเขาจากไปซักพักนางอาจอารมณ์ดีขึ้นและคงกลับมาน่ารักเหมือนเดิม
เมื่ออิพิมีทีอัสจากไปนางก็ยิ่งเดินงุ่นง่านไปมาเหมือนเสือติดจั่น จนกระทั่งนางรู้สึกหรือคิดว่าตนเองรู้สึกว่าได้ยินเสียงดังมาจากในหีบ นางเดินเข้าไปใกล้ๆหีบและยืนลังเลอยู่ด้วยความไม่แน่ใจ จะมีเสียงดังออกมาจากหีบได้อย่างไร นางจึงเอาหูไปแนบ มีเสียงดังออกมาจากหีบจริงๆ
“แพนดอร่า ได้โปรดปล่อยเราไปเถอะ เราไม่อยากอยู่ในนี้” แพนดอร่าถอยมานิดหนึ่ง เสียงนั้นยังคงดังอยู่ “ได้โปรด....” นางลังเลอยู่พักหนึ่ง เสียงลึกลับคร่ำครวญอย่างน่าเวทนาดังกล่าวยังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง นางจึงตัดสินใจเปิดฝาหีบขึ้น
แพนดอร่ากับหีบแห่งหายนะ!
ทันใดก็มีฝูงแมลงชั่วร้ายที่มีชื่อว่า ความลำบาก ความเจ็บปวด ความทุกข์ ฯลฯ กรูกันออกมาจากหีบและรุมต่อยทำร้ายเธอ เสียงหวีดร้องของแพนดอร่าดังไปถึงหูของอิพิมีทีอัสผู้เป็นสามี เขารีบกลับมาที่ถ้ำและพบว่าแพนดอร่าคนงามกำลังโดนรุมทำร้าย เขารีบวิ่งไปปัดเหล่าแมลงพวกนั้น จึงพลอยโดนทำร้ายไปด้วย ซักพักแมลงเหล่านั้นก็บินออกทางหน้าต่างไป เสียงมนุษย์กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากการโดนแมลงต่อย
แพนดอร่านั่งร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของสามี พลันนั้นก็มีเสียงดังออกมาจากหีบอีกขอร้องว่าให้ปล่อยไป แพนดอร่าเงยหน้าสบตาสามีเป็นเชิงขอความเห็น อิพิมีทีอัสพยักหน้าตอบเพราะคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว เมื่อเปิดฝากล่องออกมาก็ปรากฏร่างของ ความหวัง (Hope) บินออกมาจากกล่องเพื่อปลอบโยนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ
อันที่จริงความหวังไม่ได้ทีอยู่ในกล่องหรอกค่ะแต่มีเทพใจดีองค์หนึ่งแอบเอาใส่ไว้ให้ ความหวังได้โบยบินไปทั่วเพื่อปลอบใจผู้บาดเจ็บทั้งหลาย ผู้ที่ท้อแท้ก็พลันมีความหวังขึ้นมาว่าอะไรอะไรต้องดีขึ้น ผู้ที่กำลังอ่อนล้าก็กลับมีกำลังใจขึ้นมาใหม่
แพนดอร่ากับหีบแห่งหายนะ!
ทันใดก็มีฝูงแมลงชั่วร้ายที่มีชื่อว่า ความลำบาก ความเจ็บปวด ความทุกข์ ฯลฯ กรูกันออกมาจากหีบและรุมต่อยทำร้ายเธอ เสียงหวีดร้องของแพนดอร่าดังไปถึงหูของอิพิมีทีอัสผู้เป็นสามี เขารีบกลับมาที่ถ้ำและพบว่าแพนดอร่าคนงามกำลังโดนรุมทำร้าย เขารีบวิ่งไปปัดเหล่าแมลงพวกนั้น จึงพลอยโดนทำร้ายไปด้วย ซักพักแมลงเหล่านั้นก็บินออกทางหน้าต่างไป เสียงมนุษย์กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากการโดนแมลงต่อย
แพนดอร่านั่งร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของสามี พลันนั้นก็มีเสียงดังออกมาจากหีบอีกขอร้องว่าให้ปล่อยไป แพนดอร่าเงยหน้าสบตาสามีเป็นเชิงขอความเห็น อิพิมีทีอัสพยักหน้าตอบเพราะคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว เมื่อเปิดฝากล่องออกมาก็ปรากฏร่างของ ความหวัง (Hope) บินออกมาจากกล่องเพื่อปลอบโยนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ
อันที่จริงความหวังไม่ได้ทีอยู่ในกล่องหรอกค่ะแต่มีเทพใจดีองค์หนึ่งแอบเอาใส่ไว้ให้ ความหวังได้โบยบินไปทั่วเพื่อปลอบใจผู้บาดเจ็บทั้งหลาย ผู้ที่ท้อแท้ก็พลันมีความหวังขึ้นมาว่าอะไรอะไรต้องดีขึ้น ผู้ที่กำลังอ่อนล้าก็กลับมีกำลังใจขึ้นมาใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น