อาจกล่าวได้ว่าทศวรรษที่ 70-80 นั้น Mothman ถือเป็นตัวประหลาดแห่งปี เพราะมีข่าวของการพบมันกันหนาหูมากๆ แรกทีเดียวนั้น ตำรวจและเจ้าหน้าที่ คิดว่าเป็นแค่การเล่นพิเรนทร์ของวัยรุ่นหรือพวกจิตป่วนที่คิดจะแต่งตัวเลียนแบบ Batman ซึ่งเป็นทีวีซีรี่ย์ที่ดังมากๆในสมัยนั้น เอาไปเอามาชักไม่ใช่แล้วสิครับ เพราะ Mothman ไปเกี่ยวพันกับปรากฏการณ์สยองหลายๆครั้ง เช่น การถล่มของสะพาน Silver Bridge ตึกถล่ม หรือแม้แต่การปรากฏของ UFO ในหลายๆครั้ง ไม่มีใครรู้ว่า Mothman แท้ที่จริงคือตัวอะไรกันแน่ แต่ข่าวที่เชื่อได้ก็คือ ในช่วงที่ Mothman ปรากฏตัว จะมีชายแปลกหน้าใส่ชุดสีดำ หรือ น้ำตาลป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณใกล้เคียงเสมอๆ (ยังกะ MIB เลยแฮะ)
ถึงอย่างนั้นก็มี Mothman เก๊หลายตัวครับ ที่โดนจับได้ว่าปลอมตัวมาแหกตาชางบ้านในรอบหลายปีที่ผ่านมา เอาเป็นว่า ถ้าว่างแล้วจะเอาเรื่องแบบเต็มๆของ Mothman มาลงให้อ่านก็แล้วกันนะครับ ตอนนี้ขอติดไว้ก่อน
:: ภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับมอธแมน ::
สะพานซิลเวอร์ถล่ม
เพียงไม่กี่เดือนก่อนการถล่มของสะพานซิลเวอร์ สภาพของเมืองพอยท์ พลีเซนท์ รัฐเวสท์เวอร์จิเนียกำลังตกอยู่ในความระส่ำระสายจากเหตุแปลกประหลาดมากมาย มีรายงานการพบเห็นม็อทแมน (Mothman) มากกว่าร้อยชิ้น การพบเห็นจานบินยูเอฟโอ (UFO) มากมาย และการถูกก่อกวนโดยมนุษย์ตัวเขียว ชาวเมืองบางคนมีความรู้สึกว่าม็อทแมน (Mothman) กำลังส่งสัญญาณเตือนบางประการมายังพวกเขา ทว่าก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้จนกระทั่งถึงช่วงเทศกาลคริสต์มาสของปีเดียวกันนั้น
เพียงไม่กี่เดือนก่อนการถล่มของสะพานซิลเวอร์ สภาพของเมืองพอยท์ พลีเซนท์ รัฐเวสท์เวอร์จิเนียกำลังตกอยู่ในความระส่ำระสายจากเหตุแปลกประหลาดมากมาย มีรายงานการพบเห็นม็อทแมน (Mothman) มากกว่าร้อยชิ้น การพบเห็นจานบินยูเอฟโอ (UFO) มากมาย และการถูกก่อกวนโดยมนุษย์ตัวเขียว ชาวเมืองบางคนมีความรู้สึกว่าม็อทแมน (Mothman) กำลังส่งสัญญาณเตือนบางประการมายังพวกเขา ทว่าก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้จนกระทั่งถึงช่วงเทศกาลคริสต์มาสของปีเดียวกันนั้น
สะพานซิลเวอร์เป็นสะพานที่ก่อสร้างขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ด้วยการที่มันถูกยึดโยงไว้ด้วยโซ่เส้นใหญ่ มันมีอายุใกล้จะ 40 ปีแล้วในปี 1967 และเพราะการก่อสร้างนั่นเอง ที่ทำให้แค่ความผิดพลาดของหนึ่งข้อต่อของสายโซ่ก็พอจะเป็นสาเหตุให้สะพานทั้งหลังถล่มลงในทันที และมันก็เกิดขึ้นจริงๆในวันที่ 15 ธันวาคม 1967 ซึ่งจากสภาพอันผุกร่อนและอายุที่ยาวนานของมัน ตัวสะพานกลับยังคงถูกใช้งานอย่างหนักในการจราจรอันหนาแน่นช่วงเทศกาลคริสต์มาส และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ไฟควบคุมการจราจรที่อยู่บนปลายด้านหนึ่งของสะพานไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งสาเหตุที่มันใช้งานไม่ได้กลับไม่ได้ถูกหยิบยกมาพิจารณา ตอนเย็นของวันที่ 15 ธันวาคม 1967 สะพานซิลเวอร์ก็ถล่มลงมาในช่วงที่การจราจรกำลังหนาแน่น ชาวเมืองจำนวน 46 คนเสียชีวิตจากเหตุการณ์หายนะครั้งนี้ ทันทีที่รถยนต์ของพวกเขาจมลึกลงไปในแม่น้ำโอไฮโออันเย็นเฉียบก่อนจะถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดินเพียงเล็กน้อย มันเป็นหายนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในเมืองพอยท์ พลีเซนท์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีจำนวนพลเมืองน้อยกว่า 6,000 คน
หนึ่งในผู้โชคดีที่รอดชีวิตซึ่งขับรถขึ้นไปบนสะพานก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุหายนะเพียงไม่นาน เล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า "มีความรู้สึกมั่นใจมากๆว่ามีบางอย่างที่ไม่สู้ดีกำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งฉันไม่อาจเพิกเฉยต่อมันได้" เธอตัดสินใจกลับรถและถอยหลังออกมาจากสะพาน และได้เห็นในวินาทีต่อมาว่าสะพานได้ถล่มลงมาต่อหน้าต่อตาเธอ บางทีอาจเป็นเพราะม็อทแมน (Mothman) มีความผูกพันเป็นพิเศษกับเด็กๆ ซึ่งล่วงรู้ในสิ่งที่เธอไม่รู้ - เธอกำลังตั้งครรภ์ลูกแฝด ถึงแม้จะมีบางคนที่ยืนยันว่าเป็นเพราะเหล็กที่ใช้สร้างสะพานเกิดหักอย่างกะทันหัน แต่ก็มีรายงานจำนวนมากที่ระบุว่าเห็นแสงไฟสว่างวาบบนท้องฟ้าอันมืดมิดเหนือสะพานก่อนหน้าที่มันจะถล่ม
เชอร์โนบิล
เดือนเมษายนปี 1986 เกิดข่าวลือแพร่สะพัดในหมู่พนักงานทุกระดับของโรงงานไฟฟ้า ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ เมืองยูเครน (Ukraine) พนักงานทั้งชายและหญิงหลายคนต่างก็รายงานว่าได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาด ซึ่งมักจะเคลื่อนไหวไปมาอยู่ตลอดเวลา บางคนถึงกับฝันร้ายติดต่อกันหลายครั้ง บางคนก็ได้รับโทรศัพท์ข่มขวัญคุกคามอยู่บ่อยๆ อย่างน้อย 4 คนได้เคยเห็นสัตว์ประหลาดที่ใครๆต่างก็พูดกันว่าเป็นมนุษย์ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวดำ ปราศจากศีรษะ ทว่ามีปีกมหึมาติดอยู่ด้านหลังและมีดวงตาสีแดงเพลิง อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้าของวันเกิดเหตุนั้น ข่าวลือทั้งหลายต่างก็ต้องหยุดลงเมื่อถึงเวลาการทดสอบเตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 (Reactor 4) ตามตารางที่ได้กำหนดไว้แล้ว โดยได้มีการเตรียมพร้อมรับกับระดับพลังงานลดลงที่จะเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่หลายคนต่างก็มีความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัดว่า อาจเกิดเหตุหายนะบางอย่างขึ้นในโรงงานไฟฟ้าแห่งนี้ จากการที่พวกเขาได้รับสัญญาณเตือนลึกลับหลายๆคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขาจึงต้องการให้มีการเตรียมพร้อมสำหรับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้น เตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่ามีระดับพลังงานขั้นต่ำที่ผันแปรอยู่ตลอดเวลา และทันทีที่มันถูกเปิดเครื่องให้กำเนิดไฟฟ้าในตอนเช้าของวันที่ 26 เมษายน 1986 โรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์เชอร์โนบิลก็เกิดระเบิดขึ้น มีคนจำนวน 30 คนที่เสียชีวิตในเช้าวันนั้น และมากกว่า 10 คนที่ได้รับผลกระทบจากการแผ่กระจายของกัมมันตภาพรังสี แร่กราไฟท์ (graphite) ในเตาปฏิกรณ์นั้นต้องใช้เวลาในการเผาไหม้นานถึง 9 วัน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เกิดความเสียหายจากการแผ่รังสีไปทั่วพื้นที่แถบนั้น และในขณะที่เฮลิคอปเตอร์กำลังบินวนรอบๆบริเวณเพื่อโปรยทรายจำนวน 500 ตัน รวมทั้งดินเหนียว, ตะกั่วและสารเคมีอื่นๆลงบนกองเพลิง เหล่าพนักงานที่รอดชีวิตต่างก็จ้องมองด้วยความไม่เชื่อสายตาตนเอง ที่เห็นนกยักษ์สีดำขนาด 20 ฟุตกำลังบินวนเวียนอยู่ในกลุ่มควันจากเปลวไฟ
หนึ่งในผู้โชคดีที่รอดชีวิตซึ่งขับรถขึ้นไปบนสะพานก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุหายนะเพียงไม่นาน เล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า "มีความรู้สึกมั่นใจมากๆว่ามีบางอย่างที่ไม่สู้ดีกำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งฉันไม่อาจเพิกเฉยต่อมันได้" เธอตัดสินใจกลับรถและถอยหลังออกมาจากสะพาน และได้เห็นในวินาทีต่อมาว่าสะพานได้ถล่มลงมาต่อหน้าต่อตาเธอ บางทีอาจเป็นเพราะม็อทแมน (Mothman) มีความผูกพันเป็นพิเศษกับเด็กๆ ซึ่งล่วงรู้ในสิ่งที่เธอไม่รู้ - เธอกำลังตั้งครรภ์ลูกแฝด ถึงแม้จะมีบางคนที่ยืนยันว่าเป็นเพราะเหล็กที่ใช้สร้างสะพานเกิดหักอย่างกะทันหัน แต่ก็มีรายงานจำนวนมากที่ระบุว่าเห็นแสงไฟสว่างวาบบนท้องฟ้าอันมืดมิดเหนือสะพานก่อนหน้าที่มันจะถล่ม
เชอร์โนบิล
เดือนเมษายนปี 1986 เกิดข่าวลือแพร่สะพัดในหมู่พนักงานทุกระดับของโรงงานไฟฟ้า ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ เมืองยูเครน (Ukraine) พนักงานทั้งชายและหญิงหลายคนต่างก็รายงานว่าได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาด ซึ่งมักจะเคลื่อนไหวไปมาอยู่ตลอดเวลา บางคนถึงกับฝันร้ายติดต่อกันหลายครั้ง บางคนก็ได้รับโทรศัพท์ข่มขวัญคุกคามอยู่บ่อยๆ อย่างน้อย 4 คนได้เคยเห็นสัตว์ประหลาดที่ใครๆต่างก็พูดกันว่าเป็นมนุษย์ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวดำ ปราศจากศีรษะ ทว่ามีปีกมหึมาติดอยู่ด้านหลังและมีดวงตาสีแดงเพลิง อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้าของวันเกิดเหตุนั้น ข่าวลือทั้งหลายต่างก็ต้องหยุดลงเมื่อถึงเวลาการทดสอบเตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 (Reactor 4) ตามตารางที่ได้กำหนดไว้แล้ว โดยได้มีการเตรียมพร้อมรับกับระดับพลังงานลดลงที่จะเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่หลายคนต่างก็มีความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัดว่า อาจเกิดเหตุหายนะบางอย่างขึ้นในโรงงานไฟฟ้าแห่งนี้ จากการที่พวกเขาได้รับสัญญาณเตือนลึกลับหลายๆคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขาจึงต้องการให้มีการเตรียมพร้อมสำหรับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้น เตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่ามีระดับพลังงานขั้นต่ำที่ผันแปรอยู่ตลอดเวลา และทันทีที่มันถูกเปิดเครื่องให้กำเนิดไฟฟ้าในตอนเช้าของวันที่ 26 เมษายน 1986 โรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์เชอร์โนบิลก็เกิดระเบิดขึ้น มีคนจำนวน 30 คนที่เสียชีวิตในเช้าวันนั้น และมากกว่า 10 คนที่ได้รับผลกระทบจากการแผ่กระจายของกัมมันตภาพรังสี แร่กราไฟท์ (graphite) ในเตาปฏิกรณ์นั้นต้องใช้เวลาในการเผาไหม้นานถึง 9 วัน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เกิดความเสียหายจากการแผ่รังสีไปทั่วพื้นที่แถบนั้น และในขณะที่เฮลิคอปเตอร์กำลังบินวนรอบๆบริเวณเพื่อโปรยทรายจำนวน 500 ตัน รวมทั้งดินเหนียว, ตะกั่วและสารเคมีอื่นๆลงบนกองเพลิง เหล่าพนักงานที่รอดชีวิตต่างก็จ้องมองด้วยความไม่เชื่อสายตาตนเอง ที่เห็นนกยักษ์สีดำขนาด 20 ฟุตกำลังบินวนเวียนอยู่ในกลุ่มควันจากเปลวไฟ
จีน
ในปี 1926 หนึ่งในเหตุการณ์หายนะทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นบริเวณเทือกเขาทางแถบภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งหนึ่งในเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ทว่าใหญ่เป็นอันดับสองของเขื่อนในประเทศจีน) คือ เขื่อนเซี่ยวเต (Xiaon Te) เขื่อนนี้ได้พังลงมาในตอนบ่ายแก่ๆของวันที่ 19 มกราคม 1926 ส่งผลให้น้ำจำนวนกว่า 40 พันล้านแกลลอนไหลทะลักลงสู่บริเวณพื้นที่เพาะปลูกอันสงบเงียบทางด้านใต้เขื่อน ประชาชนจำนวนกว่า 15,000 คนเสียชีวิต ขณะที่เมืองทั้งเมืองจมลงสู่กระแสอุทกภัยอันเชี่ยวกราก อย่างไรก็ตาม บ้านหลายหลังซึ่งถูกกระแสน้ำพัดกวาดไปไกลเป็นไมล์ๆกลับไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว ในบรรดาผู้รอดชีวิตแทบทุกรายต่างก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการได้เห็นหรือได้ยินเกี่ยวกับ "มนุษย์มังกร" ผู้มีร่างสีดำ ซึ่งมาปรากฏตัวต่อหน้าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายในบริเวณโดยรอบของที่เกิดเหตุ ผู้เห็นเหตุการณ์ได้ให้คำอธิบายถึงความหายนะครั้งนี้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก เนื่องจากบันทึกทางสถิติของหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ได้ถูกทำลายไป เมื่อครั้งที่ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ได้เข้ามามีอำนาจในประเทศจีน
ในปี 1926 หนึ่งในเหตุการณ์หายนะทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นบริเวณเทือกเขาทางแถบภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งหนึ่งในเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ทว่าใหญ่เป็นอันดับสองของเขื่อนในประเทศจีน) คือ เขื่อนเซี่ยวเต (Xiaon Te) เขื่อนนี้ได้พังลงมาในตอนบ่ายแก่ๆของวันที่ 19 มกราคม 1926 ส่งผลให้น้ำจำนวนกว่า 40 พันล้านแกลลอนไหลทะลักลงสู่บริเวณพื้นที่เพาะปลูกอันสงบเงียบทางด้านใต้เขื่อน ประชาชนจำนวนกว่า 15,000 คนเสียชีวิต ขณะที่เมืองทั้งเมืองจมลงสู่กระแสอุทกภัยอันเชี่ยวกราก อย่างไรก็ตาม บ้านหลายหลังซึ่งถูกกระแสน้ำพัดกวาดไปไกลเป็นไมล์ๆกลับไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว ในบรรดาผู้รอดชีวิตแทบทุกรายต่างก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการได้เห็นหรือได้ยินเกี่ยวกับ "มนุษย์มังกร" ผู้มีร่างสีดำ ซึ่งมาปรากฏตัวต่อหน้าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายในบริเวณโดยรอบของที่เกิดเหตุ ผู้เห็นเหตุการณ์ได้ให้คำอธิบายถึงความหายนะครั้งนี้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก เนื่องจากบันทึกทางสถิติของหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ได้ถูกทำลายไป เมื่อครั้งที่ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ได้เข้ามามีอำนาจในประเทศจีน
เบอร์มิวด้า วันที่ 3 มิถุนายน 1983 อัลลิสัน แม็คคาร์รี่ย์ (Alison McCarrey) วางแผนที่จะทำตามฝันของตนและสามี เอริค (Eric) ในการไปเที่ยวชายหาดเบอร์มิวด้า ก่อนวันเดินทางหนึ่งวัน เธองีบหลับไปพักหนึ่งและตื่นขึ้นมาเพื่อรับโทรศัพท์ประหลาดๆ ซึ่งเธอบอกว่าได้ยินเสียงเหมือนรหัสมอร์ส (Morse Code) ส่งเสียงกรีดแหลมแสบแก้วหูและเต็มไปด้วยคลื่นแทรกรบกวน เธอคิดที่จะอัดเสียงจากโทรศัพท์นี้ให้สามีซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับรหัสมอร์สได้ฟัง แต่สายโทรศัพท์กลับถูกตัดไปเสียก่อน เธอจึงกลับไปงีบต่อและตื่นขึ้นมาในตอนเย็นจึงรู้ว่าได้เผลอหลับไปนานถึง 6 ชั่วโมงเลยทีเดียว ตั้งแต่นั้นเธอก็มัวแต่คิดถึงความฝันอันรบกวนจิตใจเกี่ยวกับร่างมนุษย์สีเทาที่มีปีกสีดำกำลังจ้องมองเธออยู่ ขณะที่เธอกำลังจมลงสู่ใจกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล สามีของเธอกลับถึงบ้านไม่นานหลังจากนั้น และเธอก็ไม่ได้เอ่ยถึงความฝันนั้นออกมาเลย
คืนเดียวกันนั้น เธอนอนไม่หลับและได้ยินเสียงสุนัขพันธุ์สก๊อตต์เทอร์เรียร์ของเธอเอาแต่ส่งเสียงคำราม และพยายามตะกุยพื้นหน้าประตูชั้นล่างอย่างแรง เธอจึงลงไปดูให้รู้และเมื่อมองออกไปนอกบ้าน เธอเล่าให้ฟังในตอนหลังว่า "ฉันอยากจะหัวเราะด้วยความไม่เชื่อสายตาตัวเอง แต่ฉันก็หัวเราะไม่ออก มันเหมือนกับมีมือมาบีบคอฉัน ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวมาก"
บนสนามหญ้าหน้าบ้านของเธอ ปรากฏร่างของชายรูปร่างสูงใหญ่มีปีกซึ่งเป็นคนๆเดียวกับที่เธอเห็นในฝันกำลังยืนอยู่ แล้วชายผู้นั้นก็บินตรงมายังหน้าต่างที่เธอมองออกมา "เขาไม่ได้ขยับเขยื้อนส่วนใดของร่างกายเลย เขาแค่ลอยมาใกล้ๆฉันอย่างทันทีทันใดก็เท่านั้น" แล้วด้วยเสียกรีดร้องอันเต็มไปด้วยความสยองขวัญของเธอก็ปลุกให้สามีเธอตื่นขึ้นมา และเขาก็มาพบเธอกำลังยืนตัวสั่นอยู่ตรงโถงทางเดินของบ้าน เธอเล่าเรื่องทั้งหมดให้สามีฟังพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วย จนกระทั่งในวันถัดไปเธอก็ยังไม่หายจากอาการตัวสั่น สามีของเธอจึงตัดสินใจเลื่อนการเดินทางออกไป
พวกเขาได้พบในเวลาต่อมา เมื่อเพื่อนๆได้โทร.มาหาด้วยความประหลาดใจที่ทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ เนื่องด้วยเครื่องบินที่คาดว่าทั้งสองจะโดยสารไปด้วยนั้น ได้หายสาบสูญไปในพายุที่เกิดขึ้นบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า และไม่มีใครได้ยินข่าวคราวจากมันอีกเลย
คืนเดียวกันนั้น เธอนอนไม่หลับและได้ยินเสียงสุนัขพันธุ์สก๊อตต์เทอร์เรียร์ของเธอเอาแต่ส่งเสียงคำราม และพยายามตะกุยพื้นหน้าประตูชั้นล่างอย่างแรง เธอจึงลงไปดูให้รู้และเมื่อมองออกไปนอกบ้าน เธอเล่าให้ฟังในตอนหลังว่า "ฉันอยากจะหัวเราะด้วยความไม่เชื่อสายตาตัวเอง แต่ฉันก็หัวเราะไม่ออก มันเหมือนกับมีมือมาบีบคอฉัน ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวมาก"
บนสนามหญ้าหน้าบ้านของเธอ ปรากฏร่างของชายรูปร่างสูงใหญ่มีปีกซึ่งเป็นคนๆเดียวกับที่เธอเห็นในฝันกำลังยืนอยู่ แล้วชายผู้นั้นก็บินตรงมายังหน้าต่างที่เธอมองออกมา "เขาไม่ได้ขยับเขยื้อนส่วนใดของร่างกายเลย เขาแค่ลอยมาใกล้ๆฉันอย่างทันทีทันใดก็เท่านั้น" แล้วด้วยเสียกรีดร้องอันเต็มไปด้วยความสยองขวัญของเธอก็ปลุกให้สามีเธอตื่นขึ้นมา และเขาก็มาพบเธอกำลังยืนตัวสั่นอยู่ตรงโถงทางเดินของบ้าน เธอเล่าเรื่องทั้งหมดให้สามีฟังพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วย จนกระทั่งในวันถัดไปเธอก็ยังไม่หายจากอาการตัวสั่น สามีของเธอจึงตัดสินใจเลื่อนการเดินทางออกไป
พวกเขาได้พบในเวลาต่อมา เมื่อเพื่อนๆได้โทร.มาหาด้วยความประหลาดใจที่ทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ เนื่องด้วยเครื่องบินที่คาดว่าทั้งสองจะโดยสารไปด้วยนั้น ได้หายสาบสูญไปในพายุที่เกิดขึ้นบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า และไม่มีใครได้ยินข่าวคราวจากมันอีกเลย
ชิคาโก้
ในปี 1951 มีสิ่งแปลกประหลาดหลายประการเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งความตื่นตระหนกต่อสีแดง, ความหวาดกลัวระเบิด และการตามล่าแม่มด ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็ตกอยู่ในอาการหวั่นไหวเล็กๆน้อยๆกับระยะเริ่มต้นของสงครามเย็น และเมืองชิคาโก้ก็ต้องประสบกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ หลายวันก่อนเกิดแผ่นดินไหว ผู้คนที่กำลังล่องเรือในทะเลสาบมิชิแกน (Lake Michigan) ต่างให้การว่ามองเห็นสัตว์ประหลาดร่างยักษ์สีดำหรือ "นกพิราบจากอเวจี" กำลังบินอยู่บริเวณเส้นขอบฟ้าของชิคาโก้ ส่วนพนักงานที่ทำงานล่วงเวลาบนตึกสูงก็รายงานว่ามองเห็นแสงไฟกระพริบวิบวับอยู่เหนือทะเลสาบมิชิแกนเช่นกัน ในวันเกิดแผ่นดินไหวคือวันที่ 5 พฤษภาคมก็มีรายงานหลายฉบับกล่าวถึงสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ ซึ่งตรงมาเคาะประตูบ้านของพวกเขา หรือที่ยิ่งแปลกไปกว่านั้นก็คือมาเคาะประตูตู้เสื้อผ้าหรือห้องส่วนตัวเลยทีเดียว หรือนี่จะเป็นความพยายามของ ม็อทแมน (Mothman) ที่จะปกป้องคุ้มภัยให้แก่พวกเขา? คู่สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่งได้เปิดประตูหน้าบ้านมาเผชิญหน้ากับร่างสีเทาขนาดใหญ่ ได้ก้าวเท้าออกมาจากบ้านอย่างไม่มีสติอยู่กับตนเองตรงไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ละแวกใกล้เคียง โดยมีดวงตาสีแดงของเจ้าสัตว์ประหลาดคอยบงการ และเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นจากการตกอยู่ในภวังค์ เจ้าสัตว์ประหลาดก็ได้หายตัวไปเสียแล้ว และแผ่นดินก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างแรง อพาร์ทเมนท์หลังที่พวกเขาอาศัยอยู่ที่ชั้นล่างสุดนั้นก็ถล่มลงมา และมีผู้เสียชีวิตในซากตึกนี้ถึง 12 คนซึ่งเป็นจำนวนของผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้
สงครามคาบสมุทรไครเมีย
หนึ่งในเรื่องราวอันแปลกประหลาดที่พอจะเชื่อมโยงกับม็อทแมน (Mothman) ก็คือหนึ่งในเรื่องราวเก่าแก่เรื่องนี้ ระหว่างเกิดสงครามคาบสมุทรไครเมีย การสู้รบนองเลือดครั้งดำเนินความรุนแรงนานถึง 6 วัน จนกระทั่งกองทหารของทั้งสองฝ่ายต่างก็พบว่าในวันถัดไปคือวันที่ 15 มีนาคม อันเป็นวันสำคัญตามปฏิทินโรมัน (The Ides of March) ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความเชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์อย่างรุนแรงพอๆกัน ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือผู้นำกองทัพต่างก็เห็นพ้องต้องกันที่จะกำหนดวันสงบศึก อย่างไรก็ตาม มีทหารรัสเซียจำนวน 5 คนได้วางแผนการดักซุ่มโจมตีศัตรูเพื่อให้การรบครั้งนี้เสร็จสิ้นไป โดยพวกเขาได้ออกมาวางแผนการล่วงล้ำเข้าสู่แดนข้าศึก โดยอาศัยแสงไฟจากตะเกียงจากค่ายพักของตนเอง กลางสนามรบที่จู่ๆอากาศก็เกิดอับทึบขึ้นอย่างกะทันหัน ทหารทั้ง 5 ต่างก็เงยหน้ามองขึ้นบนท้องฟ้าและเห็นนกยักษ์กำลังบินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา (หนึ่งในผู้รอดชีวิตได้ให้การว่ามันคืออีกา ซึ่งทำให้เรื่องนี้ถูกจัดเข้าไว้ในหมวดตำนานเกี่ยวกับอีกา ทว่ารายละเอียดอีกมากมายจากพยานคนอื่นๆกลับระบุไปที่ม็อทแมน (Mothman)) และพวกเขาต่างก็จ้องมองมันดุจต้องมนตร์เลยทีเดียว แล้วเมื่อพวกเขาหันกลับมามาไปด้านหลังก็พบว่าพวกตนได้ก้าวล้วงเข้ามาในเขตศัตรูเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่พวกเขาฉุกคิดขึ้นมาได้ถึงสิ่งที่พวกเขาเชื่อในฐานะกองทหารศัตรู พวกเขาก็ถูกทหารรักษาการณ์**censor**กระสุนเข้าใส่อย่างฉับพลัน เสียชีวิตทันทีถึง 3 คน ส่วนรายที่สี่ตกอยู่กลางวงล้อมของเพื่อนร่วมทีมและค่อยๆเสียเลือดจนตาย เหลือเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้จากการใช้ร่างกายของเพื่อนๆเป็นเกราะกำบัง
สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้มีความแปลกพิสดารมาจากคำให้การของทหารรักษาการณ์ฝ่ายรัสเซียที่เห็นเหตุการณ์ ทุกคนต่างก็สบถสาบานว่าทหารทั้ง 5 นายนั้นเป็นทหารฝ่ายชาวเติร์ค (Turkish) ซึ่งแต่งกายด้วยผ้าโพกศีรษะแบบแขกและเสื้อคลุมยาว กำลังส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยเสียงดังที่สุดเท่าที่จะดังได้ และตามติดมาด้วย ฝูงค้าวคาวยักษ์นับพันตัว เวลาเที่ยงคืนชาวเติร์คผู้โกรธเกรี้ยวกระทำแก้แค้นแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น คือภาพที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ของการสู้รบอันนองเลือดครั้งมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ
เยอรมันนี
อีกกรณีหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะสนับสนุนเรื่องราวของม็อทแมน (Mothman) คือเหตุการณ์ที่เขาช่วยชีวิตคนอย่างน้อย 21 คน กรรมกรที่มารายงานตัวตามหน้าที่เมื่อวันที่ 10 กันยายน 1978 ที่เหมืองถ่านหินในเมือง ฟรายบูร์ก (Freiburg) ประเทศเยอรมันนี เพื่อค้นหาทางเข้าสู่อุโมงค์เหมืองที่ถูกปิดด้วยฝีมือของร่างลึกลับสีดำน่าสะพรึงกลัวซึ่งมีปีกขนาดใหญ่อยู่ด้านหลัง กรรมกรหลายคนพยายามจะเข้าไปใกล้ตัวสัตว์ประหลาดและเข้าไปภายในเหมือง ด้วยความคิดแค่ว่ามันอาจจะเป็นเพียงวิญญาณที่มาปรากฏให้เห็นเพียงชั่วครู่ แต่แล้วพวกเขาก็ต้องถอยหนีกันออกมา เมื่อเจ้าสัตว์ประหลาดเกิดส่งเสียงกรีดแหลม "เหมือนเสียงกรีดร้องของมนุษย์ 50 คน" หรือ "เสียงเบรคของรถไฟ" ออกมา หลังจากการรอคอยผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง เหล่ากรรมกรก็เริ่มจัดการปัดกวาดทำความสะอาดบริเวณภายนอกของเหมือง ด้วยความหวังว่าเจ้าสัตว์ประหลาดจะหนีไป เวลาประมาณ 8.00 น. พื้นดินบริเวณนั้นก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจากแรงระเบิดใต้ดิน ม็อทแมน (Mothman) ได้จากไป - คงเหลือไว้ซึ่งเปลวไฟที่พวยพุ่งเป็นลำออกมาจากปากทางเข้าเหมือง เปลวไฟที่อาจจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดในทันที
6 เดือนต่อมา มีเพียงหนึ่งในสามของกรรมกรที่ยังคงทำงานอยู่ในเหมืองแห่งนี้ บางคนก็ได้เปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น ขณะที่อีกหลายคนก็ว่างงานและบางคนก็ไม่มีใครอยากจ้างเข้าทำงาน มีสองคนเท่านั้นที่ทุ่มเทตนเองให้กับการค้นหาความจริงที่เกิดขึ้นและเปิดเผยความจริงในโลกรับรู้ ทั้งคู่เสียชีวิตอย่างยากจนและน่าละอายตั้งแต่ยังหนุ่ม
ในปี 1951 มีสิ่งแปลกประหลาดหลายประการเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งความตื่นตระหนกต่อสีแดง, ความหวาดกลัวระเบิด และการตามล่าแม่มด ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็ตกอยู่ในอาการหวั่นไหวเล็กๆน้อยๆกับระยะเริ่มต้นของสงครามเย็น และเมืองชิคาโก้ก็ต้องประสบกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ หลายวันก่อนเกิดแผ่นดินไหว ผู้คนที่กำลังล่องเรือในทะเลสาบมิชิแกน (Lake Michigan) ต่างให้การว่ามองเห็นสัตว์ประหลาดร่างยักษ์สีดำหรือ "นกพิราบจากอเวจี" กำลังบินอยู่บริเวณเส้นขอบฟ้าของชิคาโก้ ส่วนพนักงานที่ทำงานล่วงเวลาบนตึกสูงก็รายงานว่ามองเห็นแสงไฟกระพริบวิบวับอยู่เหนือทะเลสาบมิชิแกนเช่นกัน ในวันเกิดแผ่นดินไหวคือวันที่ 5 พฤษภาคมก็มีรายงานหลายฉบับกล่าวถึงสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ ซึ่งตรงมาเคาะประตูบ้านของพวกเขา หรือที่ยิ่งแปลกไปกว่านั้นก็คือมาเคาะประตูตู้เสื้อผ้าหรือห้องส่วนตัวเลยทีเดียว หรือนี่จะเป็นความพยายามของ ม็อทแมน (Mothman) ที่จะปกป้องคุ้มภัยให้แก่พวกเขา? คู่สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่งได้เปิดประตูหน้าบ้านมาเผชิญหน้ากับร่างสีเทาขนาดใหญ่ ได้ก้าวเท้าออกมาจากบ้านอย่างไม่มีสติอยู่กับตนเองตรงไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ละแวกใกล้เคียง โดยมีดวงตาสีแดงของเจ้าสัตว์ประหลาดคอยบงการ และเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นจากการตกอยู่ในภวังค์ เจ้าสัตว์ประหลาดก็ได้หายตัวไปเสียแล้ว และแผ่นดินก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างแรง อพาร์ทเมนท์หลังที่พวกเขาอาศัยอยู่ที่ชั้นล่างสุดนั้นก็ถล่มลงมา และมีผู้เสียชีวิตในซากตึกนี้ถึง 12 คนซึ่งเป็นจำนวนของผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้
สงครามคาบสมุทรไครเมีย
หนึ่งในเรื่องราวอันแปลกประหลาดที่พอจะเชื่อมโยงกับม็อทแมน (Mothman) ก็คือหนึ่งในเรื่องราวเก่าแก่เรื่องนี้ ระหว่างเกิดสงครามคาบสมุทรไครเมีย การสู้รบนองเลือดครั้งดำเนินความรุนแรงนานถึง 6 วัน จนกระทั่งกองทหารของทั้งสองฝ่ายต่างก็พบว่าในวันถัดไปคือวันที่ 15 มีนาคม อันเป็นวันสำคัญตามปฏิทินโรมัน (The Ides of March) ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความเชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์อย่างรุนแรงพอๆกัน ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือผู้นำกองทัพต่างก็เห็นพ้องต้องกันที่จะกำหนดวันสงบศึก อย่างไรก็ตาม มีทหารรัสเซียจำนวน 5 คนได้วางแผนการดักซุ่มโจมตีศัตรูเพื่อให้การรบครั้งนี้เสร็จสิ้นไป โดยพวกเขาได้ออกมาวางแผนการล่วงล้ำเข้าสู่แดนข้าศึก โดยอาศัยแสงไฟจากตะเกียงจากค่ายพักของตนเอง กลางสนามรบที่จู่ๆอากาศก็เกิดอับทึบขึ้นอย่างกะทันหัน ทหารทั้ง 5 ต่างก็เงยหน้ามองขึ้นบนท้องฟ้าและเห็นนกยักษ์กำลังบินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา (หนึ่งในผู้รอดชีวิตได้ให้การว่ามันคืออีกา ซึ่งทำให้เรื่องนี้ถูกจัดเข้าไว้ในหมวดตำนานเกี่ยวกับอีกา ทว่ารายละเอียดอีกมากมายจากพยานคนอื่นๆกลับระบุไปที่ม็อทแมน (Mothman)) และพวกเขาต่างก็จ้องมองมันดุจต้องมนตร์เลยทีเดียว แล้วเมื่อพวกเขาหันกลับมามาไปด้านหลังก็พบว่าพวกตนได้ก้าวล้วงเข้ามาในเขตศัตรูเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่พวกเขาฉุกคิดขึ้นมาได้ถึงสิ่งที่พวกเขาเชื่อในฐานะกองทหารศัตรู พวกเขาก็ถูกทหารรักษาการณ์**censor**กระสุนเข้าใส่อย่างฉับพลัน เสียชีวิตทันทีถึง 3 คน ส่วนรายที่สี่ตกอยู่กลางวงล้อมของเพื่อนร่วมทีมและค่อยๆเสียเลือดจนตาย เหลือเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้จากการใช้ร่างกายของเพื่อนๆเป็นเกราะกำบัง
สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้มีความแปลกพิสดารมาจากคำให้การของทหารรักษาการณ์ฝ่ายรัสเซียที่เห็นเหตุการณ์ ทุกคนต่างก็สบถสาบานว่าทหารทั้ง 5 นายนั้นเป็นทหารฝ่ายชาวเติร์ค (Turkish) ซึ่งแต่งกายด้วยผ้าโพกศีรษะแบบแขกและเสื้อคลุมยาว กำลังส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยเสียงดังที่สุดเท่าที่จะดังได้ และตามติดมาด้วย ฝูงค้าวคาวยักษ์นับพันตัว เวลาเที่ยงคืนชาวเติร์คผู้โกรธเกรี้ยวกระทำแก้แค้นแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น คือภาพที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ของการสู้รบอันนองเลือดครั้งมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ
เยอรมันนี
อีกกรณีหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะสนับสนุนเรื่องราวของม็อทแมน (Mothman) คือเหตุการณ์ที่เขาช่วยชีวิตคนอย่างน้อย 21 คน กรรมกรที่มารายงานตัวตามหน้าที่เมื่อวันที่ 10 กันยายน 1978 ที่เหมืองถ่านหินในเมือง ฟรายบูร์ก (Freiburg) ประเทศเยอรมันนี เพื่อค้นหาทางเข้าสู่อุโมงค์เหมืองที่ถูกปิดด้วยฝีมือของร่างลึกลับสีดำน่าสะพรึงกลัวซึ่งมีปีกขนาดใหญ่อยู่ด้านหลัง กรรมกรหลายคนพยายามจะเข้าไปใกล้ตัวสัตว์ประหลาดและเข้าไปภายในเหมือง ด้วยความคิดแค่ว่ามันอาจจะเป็นเพียงวิญญาณที่มาปรากฏให้เห็นเพียงชั่วครู่ แต่แล้วพวกเขาก็ต้องถอยหนีกันออกมา เมื่อเจ้าสัตว์ประหลาดเกิดส่งเสียงกรีดแหลม "เหมือนเสียงกรีดร้องของมนุษย์ 50 คน" หรือ "เสียงเบรคของรถไฟ" ออกมา หลังจากการรอคอยผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง เหล่ากรรมกรก็เริ่มจัดการปัดกวาดทำความสะอาดบริเวณภายนอกของเหมือง ด้วยความหวังว่าเจ้าสัตว์ประหลาดจะหนีไป เวลาประมาณ 8.00 น. พื้นดินบริเวณนั้นก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจากแรงระเบิดใต้ดิน ม็อทแมน (Mothman) ได้จากไป - คงเหลือไว้ซึ่งเปลวไฟที่พวยพุ่งเป็นลำออกมาจากปากทางเข้าเหมือง เปลวไฟที่อาจจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดในทันที
6 เดือนต่อมา มีเพียงหนึ่งในสามของกรรมกรที่ยังคงทำงานอยู่ในเหมืองแห่งนี้ บางคนก็ได้เปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น ขณะที่อีกหลายคนก็ว่างงานและบางคนก็ไม่มีใครอยากจ้างเข้าทำงาน มีสองคนเท่านั้นที่ทุ่มเทตนเองให้กับการค้นหาความจริงที่เกิดขึ้นและเปิดเผยความจริงในโลกรับรู้ ทั้งคู่เสียชีวิตอย่างยากจนและน่าละอายตั้งแต่ยังหนุ่ม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น