Cadborosaurus หรือเป็นที่รู้กันจักในชื่อ แคดดี้ "Caddy" (ไม่ใช่คนแบกถุงกอล์ฟ นะ หึ หึ) เป็นสัตว์ลึกลับจากท้องทะเลอีกชนิดหนึ่งที่มีการกล่าวขานกัน แคดดี้ได้ชื่อมาจากการพบเห็นครั้งแรกที่ Cadboro Bay ในปี ค.ศ.1933 โดยนาย Frederick Kemp และจากนั้นรายงานพบเห็นมันก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงกับว่ามีรายงานการจับตัวมันได้ในแบบเป็นๆ
นักวิทยาศาสตร์สองคนที่มีความสนใจในตัวแคดดี้และมักจะใช้เวลาว่างออกตามหาตัวมันอยู่เสมอคือ Paul LeBlond กับ Ed Bousfield ซึ่งทำการวิจัยเกี่ยวกับแคดดี้มากว่า 20 ปี ทั้งคู่ได้บันทึกรายงานการพบเห็นที่น่าใจต่างๆ เอาไว้ และสอบถามจากชาวประมงหรือชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบนั้นเกี่ยวกับข้อมูล ลักษณะ และจุดที่แคดดี้มักจะไปปรากฏตัวเสมอๆ และเก็บหลักฐานต่างๆ เอาไว้เพื่อที่จะค้นหาความจริงในการมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของมัน โดยการค้นหาตามชายฝั่งหรือจุดที่ได้รับรายงานด้วยอุปกรณ์ถ่ายรูปอิเล็กทรอนิกส์และโซนาร์ต่างๆ เพื่อให้ได้รูปของมัน แต่ก็ยังไม่ได้หลักฐานเพิ่มเติมที่น่าพอใจนัก
ในปี 1969 ข่าวลือของแคดดี้เริ่มโหมสะพัดมากขึ้นจนมีนักวิทยาศาสตร์ นักท่องเที่ยว และนักสำรวจ รวมไปถึงผู้ที่สนใจในเรื่องสัตว์ประหลาดต่างพากันเดินทางมายัง Cadboro Bay เพื่อหวังที่จะได้เห็นตัวของมันสักครั้ง ก็มีทั้งผู้ที่สมหวังและผิดหวังแต่ก็ยังไม่มีหลักฐานปรากฏที่แน่นอนแต่อย่างใด จะมีก็เพียงแต่รูปมัวๆ ระยะไกลหรือไม่ก็รูปใบไม้หรือท่อนไม้ตามน้ำมาเท่านั้น
ที่ทะเลสาบ Victoria บริเวณใกล้กับ Cadboro Bay ก็มีรายงานการพบเห็นสัตว์ลึกลับเช่นกันเริ่มมาจากปี ค.ศ.1950 จากคำบอกเล่าของ James T. Brown นายตำรวจที่พบเห็นมันได้รายงานลักษณะของมัน "มันเหมือนกับงูขนาดใหญ่ ที่มีความยาวราว 35-40 ฟุต ไม่ใช่สัตว์ทะเลหรือสัตว์ชนิดใดที่ผมเคยเห็นมา คล้ายลมา สิงโตทะเลผสมกัน" ไม่ใช่เพียงแต่นายตำรวจผู้นี้เท่านั้นที่เห็นมันเพียง ภรรยาและลูกสาวของเขาก็ได้เห็นเจ้าสัตว์ลึกลับนี้เช่นกันตอนเดินเล่นอยู่ริมทะเลสาบ "ตอนแรกมันปรากฏอยู่ข้างหน้าเราออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ แต่เหมือนว่ามันจะรู้ตัวว่าเราเห็นมันและดำลงหายไป และโผล่มาอีกทีไกลออกไปราว 150 หลา ในชั่วเวลาไม่กี่วินาที" ความสามารถในการว่ายน้ำของมันจะต้องไม่ธรรมดาทีเดียว อยู่ในขั้นเร็วถึงเร็วมาก "หัวมันเหมือนงู ผลุบโผล่อยู่ 5-6 ครั้ง ยาวประมาณ 6-7 ฟุตจากหัวถึงลำคอ สีของมันออกดำๆ และมันก็ดำน้ำหายไป" ครอบครัว Brown กล่าวอีกว่าได้เห็นมันอย่างชัดเจนถึง 3-4 ครั้งด้วยกัน และรายงานการพบเห็นที่ชัดเจนอีกครั้งก็มาจากครอบครัว Montgomery จาก Vancouver ซึ่งตอนที่เห็นเจ้าแคดดี้นั้น Jack และภรรยาของเขากำลังตกปลาอยู่ใกล้กับ Vancouver Island เจาสัตว์ลึกลับก็โผล่หัวสี่เหลี่ยมของมันออกมาจากผิวน้ำใกล้กับเรือของพวกเขาและก็ดำลงน้ำหายไป

นักวิทยาศาสตร์สองคนที่มีความสนใจในตัวแคดดี้และมักจะใช้เวลาว่างออกตามหาตัวมันอยู่เสมอคือ Paul LeBlond กับ Ed Bousfield ซึ่งทำการวิจัยเกี่ยวกับแคดดี้มากว่า 20 ปี ทั้งคู่ได้บันทึกรายงานการพบเห็นที่น่าใจต่างๆ เอาไว้ และสอบถามจากชาวประมงหรือชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบนั้นเกี่ยวกับข้อมูล ลักษณะ และจุดที่แคดดี้มักจะไปปรากฏตัวเสมอๆ และเก็บหลักฐานต่างๆ เอาไว้เพื่อที่จะค้นหาความจริงในการมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของมัน โดยการค้นหาตามชายฝั่งหรือจุดที่ได้รับรายงานด้วยอุปกรณ์ถ่ายรูปอิเล็กทรอนิกส์และโซนาร์ต่างๆ เพื่อให้ได้รูปของมัน แต่ก็ยังไม่ได้หลักฐานเพิ่มเติมที่น่าพอใจนัก
ในปี 1969 ข่าวลือของแคดดี้เริ่มโหมสะพัดมากขึ้นจนมีนักวิทยาศาสตร์ นักท่องเที่ยว และนักสำรวจ รวมไปถึงผู้ที่สนใจในเรื่องสัตว์ประหลาดต่างพากันเดินทางมายัง Cadboro Bay เพื่อหวังที่จะได้เห็นตัวของมันสักครั้ง ก็มีทั้งผู้ที่สมหวังและผิดหวังแต่ก็ยังไม่มีหลักฐานปรากฏที่แน่นอนแต่อย่างใด จะมีก็เพียงแต่รูปมัวๆ ระยะไกลหรือไม่ก็รูปใบไม้หรือท่อนไม้ตามน้ำมาเท่านั้น
ที่ทะเลสาบ Victoria บริเวณใกล้กับ Cadboro Bay ก็มีรายงานการพบเห็นสัตว์ลึกลับเช่นกันเริ่มมาจากปี ค.ศ.1950 จากคำบอกเล่าของ James T. Brown นายตำรวจที่พบเห็นมันได้รายงานลักษณะของมัน "มันเหมือนกับงูขนาดใหญ่ ที่มีความยาวราว 35-40 ฟุต ไม่ใช่สัตว์ทะเลหรือสัตว์ชนิดใดที่ผมเคยเห็นมา คล้ายลมา สิงโตทะเลผสมกัน" ไม่ใช่เพียงแต่นายตำรวจผู้นี้เท่านั้นที่เห็นมันเพียง ภรรยาและลูกสาวของเขาก็ได้เห็นเจ้าสัตว์ลึกลับนี้เช่นกันตอนเดินเล่นอยู่ริมทะเลสาบ "ตอนแรกมันปรากฏอยู่ข้างหน้าเราออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ แต่เหมือนว่ามันจะรู้ตัวว่าเราเห็นมันและดำลงหายไป และโผล่มาอีกทีไกลออกไปราว 150 หลา ในชั่วเวลาไม่กี่วินาที" ความสามารถในการว่ายน้ำของมันจะต้องไม่ธรรมดาทีเดียว อยู่ในขั้นเร็วถึงเร็วมาก "หัวมันเหมือนงู ผลุบโผล่อยู่ 5-6 ครั้ง ยาวประมาณ 6-7 ฟุตจากหัวถึงลำคอ สีของมันออกดำๆ และมันก็ดำน้ำหายไป" ครอบครัว Brown กล่าวอีกว่าได้เห็นมันอย่างชัดเจนถึง 3-4 ครั้งด้วยกัน และรายงานการพบเห็นที่ชัดเจนอีกครั้งก็มาจากครอบครัว Montgomery จาก Vancouver ซึ่งตอนที่เห็นเจ้าแคดดี้นั้น Jack และภรรยาของเขากำลังตกปลาอยู่ใกล้กับ Vancouver Island เจาสัตว์ลึกลับก็โผล่หัวสี่เหลี่ยมของมันออกมาจากผิวน้ำใกล้กับเรือของพวกเขาและก็ดำลงน้ำหายไป

ต่อมาในปี 1957 ก็มีการพบเห็นจาก Cecelia Smith ผู้เขียนคอลัมน์ในหนังสือ Vancouver Sun Cecelia และ Job สามีของเธอได้เห็นเจ้าสัตว์ลึกลับอยู่ทางด้านใต้จากเรือออกไป "เราเห็นคลื่นขนาดใหญ่สูงขึ้นจากน้ำเหมือนมีอะไรทะยานตัวขึ้นมาอย่างเร็ว เจ้าสิ่งนั้นมันมีขนาดที่ใหญ่มาก น่าจะประมาณ 40 ฟุตได้ตอนที่เราเห็นมันขึ้นมาทีแรก แต่พอเห็นมันอย่างชัดเจน ขนาดของมันไม่น่าจะต่ำกว่า 70 ฟุต หัวของมันแบนและเหมือนกับรูปร่างเพชร ดูแล้วคล้ายกับงู มันตีน้ำกระจายด้วยหางสีดำของมันอย่างกับตกใจอะไรแล้วก็ดำน้ำหายไป เราพยายามมองหามันแต่ก็ไม่เห็นมันอีก"
ในปี 1973 ที่ The Naden Harbour Whaling Station ที่เกาะควีนชาลอต (Queen Charlotte Islands) ก็มีการรายงานการพบเห็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างแปลกและไม่เคยเห็นมันมาก่อน โดยคำบอกเล่าของคนชำแหละเนื้อปลาที่เจอซากของมันในท้องปลาวาฬ มีความยาว 10 ฟุต หัวเหมือนอูฐ ตัวยาวเหมือนงู มีครีบและหาง และได้ถูกถ่ายภาพและส่งตัวอย่างเนื้อที่เหลืออยู่ไปวิเคราะห์ที่ The Fisheries Station ที่ Manaimo แต่เกิดการสูญหายของตัวอย่างเนื้อระหว่างทาง คงเหลือแต่ภาพถ่ายที่ไม่อาจพิสูจน์ได้แน่ชัดว่ามันเป็นซากของตัวอะไรกันแน่ ตำนานของแคดดี้ก็ยังคงลึกลับต่อไป ในเวลาต่อมาภาพถ่ายชุดนี้ก็ได้นำไปตีพิมพ์โดยกัปตัน William Hagelund ในหนังสือ "Whales No More" (ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นชายผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลก ในฐานะที่จับแคดดี้ตัวเป็นๆ ได้) และไม่เพียงเท่านั้น รูปภาพที่เหลือก็ได้นำไปตีพิมพ์อยู่ในหนังสือของ Paul LeBlond เรื่อง "Cadborosaurus : Survivors of the Deep" อีกด้วย แม้จะยังไม่มีการจับตัวแคดดี้และนำมาออกแสดงหรือพิสูจน์ได้อย่างเป็นทางการ แต่กระนั้นรายงานการพบเห็นแคดดี้ก็มีออกมาอย่างสม่ำเสมอและในปี 1998 ก็มีพบจากครอบครัว Mock ซึ่ง Tim และ Laurice Mock เคยพบกับมันมาก่อนหน้านั้นแล้วในปี 1996 ซึ่งครอบครัวนี้พบกันมันถึง 3 ครั้งด้วยกัน
ในปี 1973 ที่ The Naden Harbour Whaling Station ที่เกาะควีนชาลอต (Queen Charlotte Islands) ก็มีการรายงานการพบเห็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างแปลกและไม่เคยเห็นมันมาก่อน โดยคำบอกเล่าของคนชำแหละเนื้อปลาที่เจอซากของมันในท้องปลาวาฬ มีความยาว 10 ฟุต หัวเหมือนอูฐ ตัวยาวเหมือนงู มีครีบและหาง และได้ถูกถ่ายภาพและส่งตัวอย่างเนื้อที่เหลืออยู่ไปวิเคราะห์ที่ The Fisheries Station ที่ Manaimo แต่เกิดการสูญหายของตัวอย่างเนื้อระหว่างทาง คงเหลือแต่ภาพถ่ายที่ไม่อาจพิสูจน์ได้แน่ชัดว่ามันเป็นซากของตัวอะไรกันแน่ ตำนานของแคดดี้ก็ยังคงลึกลับต่อไป ในเวลาต่อมาภาพถ่ายชุดนี้ก็ได้นำไปตีพิมพ์โดยกัปตัน William Hagelund ในหนังสือ "Whales No More" (ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นชายผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลก ในฐานะที่จับแคดดี้ตัวเป็นๆ ได้) และไม่เพียงเท่านั้น รูปภาพที่เหลือก็ได้นำไปตีพิมพ์อยู่ในหนังสือของ Paul LeBlond เรื่อง "Cadborosaurus : Survivors of the Deep" อีกด้วย แม้จะยังไม่มีการจับตัวแคดดี้และนำมาออกแสดงหรือพิสูจน์ได้อย่างเป็นทางการ แต่กระนั้นรายงานการพบเห็นแคดดี้ก็มีออกมาอย่างสม่ำเสมอและในปี 1998 ก็มีพบจากครอบครัว Mock ซึ่ง Tim และ Laurice Mock เคยพบกับมันมาก่อนหน้านั้นแล้วในปี 1996 ซึ่งครอบครัวนี้พบกันมันถึง 3 ครั้งด้วยกัน
มาว่ากันต่อเรื่องของกัปตัน Hagelund ผู้ซึ่งเป็น 1 ใน 2 คนที่จับตัวแคดดี้เป็นๆ เอาไว้ได้ ตอนที่พาครอบครัวไปล่องเรือเล่นที่รอบๆ เกาะ Gulf Island ของ British Columbia และพอถึงเวลาใกล้ค่ำกัปตัน Hagelund ได้ทอดสมอไว้ใกล้กับ Pirate's Cove บริเวณ Decourcey Island และพอความมืดเริ่มเข้าปกคลุม ก็เริ่มมีเสียงประหลาดที่คล้ายกับเสียงกระดานโต้คลื่นหรืออะไรสักอย่างที่ดูเหมือนกำลังเล่นน้ำอยู่ เขาทนต่อความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวเลยลุกออกไปดูที่มาของเสียงนั้น และก็ได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างแปลกกำลังว่ายน้ำอยู่ที่ผิวน้ำ และจ้องมาที่ตัวเขาขณะที่อยู่บนเรือ เขาตัดสินใจที่จะจับมันทันที และไม่รู้สึกกลัวหรือเป็นอันตรายกับสัตว์ประหลาดตัวนี้เลยแม้แต่น้อย
จากการคาดคะเนของกัปตัน มันมีความยาวราว 16 นิ้วหรือเพียงฟุตกว่า จึงเพียงพอที่กัปตันจะใช้ตาข่ายจับมันเอาไว้ได้ และจับมันใส่ในถังพร้อมกับตักน้ำทะเลใส่ไว้ด้วย จากนั้นเขาจึงพิจารณามันอย่างละเอียดอีกครั้ง ตัวมันหุ้มด้วยหนังที่หนา หัวคล้ายกับม้า จมูกยาวเหมือนปลาโลมา ขนมีสีเหลืองอ่อนๆ ลำตัวเหมือนกับสิงโตทะเล และมีหาง ที่คล้ายกับปลาโลมา เจ้าสัตว์ลึกลับตัวนั้นได้ส่งเสียงดังอยู่ตลอดเวลาหลังจากที่โดนขัง กัปตันได้ตัดสินใจที่จะส่งมันไปยัง The Fisheries Station เพื่อวิเคราะห์ว่ามันเป็นสัตว์ชนิดหรือประเภทไหน...
แต่กัปตันคิดว่ามันอาจจะไม่รอดถ้าอยู่ในที่ที่มีอากาศจำกัดในการหายใจ เช่นในถังที่เขาจับมันไว้ และได้นำมันออกไปยังทะเลอย่างไม่เต็มใจนัก ก็เป็นที่น่าเสียดายสำหรับโอกาสที่จะได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของมันสำหรับคนอื่นๆ ส่วนอีกคนที่มีรายงานว่าจับแคดดี้ได้นั้นคือ Phyllis Harsh ผู้อาศัยอยู่ที่เกาะ John's Island ในปี 1991 ก็ได้ปล่อยลูกของแคดดี้กลับสู่ทะเลหลังจากที่พิจารณามันจนพอใจแล้ว ในรายงานไม่ได้บอกว่าเขาจับมันมาจากไหนและอย่างไร เพียงแต่บอกว่าได้ตัวมาจากชายฝั่งทะเลขณะที่มันติดสาหร่ายอยู่ มีเพียงภาพถ่ายของมันในแต่ละอิริยาบถเท่านั้น นอกจากนั้น Phyllis Harsh ยังเคยพบโครงกระดูกของสัตว์ที่มีลักษณะเหมือนไดโนเสาร์ที่รังของนกอินทรีย์อีกด้วย จากคำบอกเล่าของผู้ที่เคยเห็นแคดดี้ที่โตเต็มวัยนั้นกล่าวว่ามันมีลักษณะยาวประมาณ 100 ฟุต และจากการสังเกตจุดพบเห็นแคดดี้นั้นดูเหมือนมันจะอาศัยอยู่หรือเดินทางไปมาระหว่าง Vancouver Island และ Mainland
แต่กัปตันคิดว่ามันอาจจะไม่รอดถ้าอยู่ในที่ที่มีอากาศจำกัดในการหายใจ เช่นในถังที่เขาจับมันไว้ และได้นำมันออกไปยังทะเลอย่างไม่เต็มใจนัก ก็เป็นที่น่าเสียดายสำหรับโอกาสที่จะได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของมันสำหรับคนอื่นๆ ส่วนอีกคนที่มีรายงานว่าจับแคดดี้ได้นั้นคือ Phyllis Harsh ผู้อาศัยอยู่ที่เกาะ John's Island ในปี 1991 ก็ได้ปล่อยลูกของแคดดี้กลับสู่ทะเลหลังจากที่พิจารณามันจนพอใจแล้ว ในรายงานไม่ได้บอกว่าเขาจับมันมาจากไหนและอย่างไร เพียงแต่บอกว่าได้ตัวมาจากชายฝั่งทะเลขณะที่มันติดสาหร่ายอยู่ มีเพียงภาพถ่ายของมันในแต่ละอิริยาบถเท่านั้น นอกจากนั้น Phyllis Harsh ยังเคยพบโครงกระดูกของสัตว์ที่มีลักษณะเหมือนไดโนเสาร์ที่รังของนกอินทรีย์อีกด้วย จากคำบอกเล่าของผู้ที่เคยเห็นแคดดี้ที่โตเต็มวัยนั้นกล่าวว่ามันมีลักษณะยาวประมาณ 100 ฟุต และจากการสังเกตจุดพบเห็นแคดดี้นั้นดูเหมือนมันจะอาศัยอยู่หรือเดินทางไปมาระหว่าง Vancouver Island และ Mainland
ก็เป็นสัตว์ลึกลับในตระกูลไดโนเสาร์เช่นเดียวกับเนสซี่และเพื่อนร่วมสายพันธุ์ของมัน จากการพบเห็นแคดดี้และสัตว์ลึกลับที่ทะเล Victoria อาจจะกล่าวได้ว่ามันเป็นสัตว์ตัวเดียวหรือฝูงเดียวกันที่อาศัยอยู่ในบริเวณ Cadboro Bay ที่เดินทางไปมาระหว่างสถานที่ทั้งสอง ทำไมสัตว์ลึกลับที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกันนี้ถึงมีรายงานการพบเห็นอยู่ทั่วโลก ?? เป็นไปได้หรือว่ามันเหลือรอดมาจากยุคน้ำแข็งหรือเมื่อหลายล้านปีก่อนได้เยอะขนาดนี้ หรือว่าจะเป็นเพียงฝูงเดียวที่เหลือรอดอยู่ แล้วเดินทางไปยังทะเลสาบและทะเลทั่วโลกด้วยหนทางที่มันเสาะหาเจอ อาจเป็นอุโมงค์ใต้น้ำหรืออะไรสักอย่างที่เชื่อมต่อกันได้ หรือบางทีอาจเป็นเพียงปรากฏการณ์ซ้อนกันของมิติเวลาที่ซ้อนทับกันพอท ีและฉายภาพที่เกิดขึ้นมาเมื่อหลายล้านปีก่อนมาแล้วให้เราเห็นอีกครั้งโดยบังเอิญ ก็ยังลึกลับต่อไปกับตำนานสัตว์ประหลาด จนกระทั่งวันหนึ่งข้างหน้าในอนาคตความจริงก็อาจจะปรากฏขึ้นมาไขปริศนานี้ก็เป็นได้ "myth is always myth"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น