วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

10 สุดยอดปริศนาบันลือโลก

อันดับ 10 : กะโหลกแก้ว (CRYSTAL SKULLS : SOUTHERN MEXICO)ปริศนาจากชาวมายัน กุญแจที่จะไขทุกคำตอบในโลกของเรา กะโหลกแก้วคริสตัลลึกลับ 5 ใน 13 ทั้งหมดที่ถูกค้นพบ ถูกปลุกฟื้นตำนานเรื่องเล่า ความเป็นไปของมนุษย์จากอดีตกาลสู่ภพหน้า แหล่งบรรจุสรรพสิ่งดั่งคำทำนาย บัดนี้ยังคลุมเครือ ท่ามกลางความสงสัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการ และเทคโนโลยีในอดีต ไม่น่าเชื่อว่ากะโหลกแก้วจะสร้างขึ้นเองได้ หากเป็นความจริงอันชวนตะลึง! ดั่งคำสันนิษฐานจากกะโหลกแก้วที่ค้นพบ ข้อมูลในนั้นจะเป็นตัวกลางเชื่อมต่อระหว่างคนอดีตสู่คนยุคปัจจุบัน
อันดับ 9 : ภาพลายเส้นนาซคา (NAZCA LINES : NAZCA, PERU)ลายเส้นพิศวงกับปริศนาจากภาพเหล่านี้ คือข้อกังขาของที่มาของเรื่องทั้งหมด รูปภาพสัตว์ขนาดใหญ่ สุนัข แมงมุม ปลาวาฬ ดอกไม้ ลิง เป็ด และนกกางปีก บนชายฝั่งทางใต้ของเปรู เป็นคำถามที่คนพื้นเมืองในอดีตสร้างขึ้นเพื่อผูกปมเรื่องให้ใคร่คิด บ้างเชื่อเรื่องทางเดินสู่แหล่งน้ำของชนเผ่าต่างๆ บ้างก็เชื่อมนุษย์ต่างดาวใช้สถานที่แห่งนี้ลงจอดยานบิน หรือมันอาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิทินดาราศาสตร์ที่ซับซ้อน แม้จะหาข้อสรุปไม่ได้ สมมติฐานทั้งหมดก็ช่วยให้เราสนใจภาพวาดเหล่านั้นยิ่งขึ้น

อันดับ 8 : สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (BERMUDA TRIANGLE : ATLANTIC OCEAN)ความลึกลับ อาถรรพณ์ และเรื่องจริงที่เกิดขึ้นยังคงกล่าวขานถึง สู่หายนะกับสถานที่แห่งนี้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า มฤตยูกลางมหาสมุทรแอตแลนติก เหตุการณ์ที่ไม่สามารถหา คำอธิบายได้ ความจริงที่เครื่องบิน เรือ ที่ผ่านบริเวณสามเหลี่ยมมรณะถูกดูดกลืนสูญหายไปอย่าง ไร้ร่องรอยโดย ไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่สภาพอากาศ และทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีข้อสรุป คำตอบ หรือข้ออ้างให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเพียงแต่ปริศนาที่ยังค้างคาใจ ผู้คนจนถึงปัจจุบัน

อันดับ 7 : หีบพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ (ARK OF THE COVENANT : ETHIOPIA)คำตอบกับการเปิดทางสู่โลกพระเจ้า การค้นคว้าทางศาสนาครั้งยิ่งใหญ่ ปริศนาศิลาจารึกที่อยู่ข้างในหีบพระบัญญัติ คือ เครื่องมือติดต่อถึงองค์พระเจ้าโดยตรง คำสอนศาสนา หีบทองคำ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ที่องค์พระศาสดาตระหนักรู้ อาจรอคอยช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเปิดเผย แต่ยังไม่ใช่ในตอนนี้
อันดับ 6 : โอเรกอน วอร์เท็กซ์ (OREGON VORTEX : GOLD HILL, OREGON)พบกับสถานที่ที่ไม่ลึกลับแต่มันเป็นภาพลวงตาที่หาคำตอบไม่ได้ แนวแม่เหล็กที่ไขว้กันอยู่ใต้พื้นดิน สนามพลังผิดปกติ เมื่อคุณเข้าไปยืนในนั้นจะรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด จุดที่แม่เหล็กไขว้ทับกัน คุณรู้สึกได้ถึงความกดดัน มันผลักกันและกัน และหมุนรอบๆจนคุณทนไม่ไหว การยืด หรือหดตัวอย่างน่าใจหาย ไม่นับสถานที่แห่งนี้ยังมี โรงนาปริศนา ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ตัวของคุณจะเอียง ลูกกอล์ฟกลิ้งขึ้นเนินเองได้ ไม้กวาดตั้งได้เอง จนคุณอยากออกจากประสบการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้สู่ โลกแห่งความจริง ที่ทุกอย่างพิสูจน์ได้
อันดับ 5 : นักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน (THE BOSTON STRANGLER : BOSTON, MA)คดีแห่งปริศนา ฆาตกรรมอำพราง เมื่อหลายปีก่อนถูกคลี่คลาย แต่เร็วๆนี้ถูกนำมาสอบสวนใหม่ ชนวนที่ฆาตกรที่จับได้จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือ? คดีที่โด่งดังไปทั่วอ่าวแบ็คเบย์ในบอสตัน นักฆ่าใจโหด ข่มขืนและฆ่ารัดคอผู้หญิง 11 คนตายในบ้านตัวเอง คดีนี้ปิดฉากไปโดยตัวผู้รับสารภาพ อัลเบิร์ต เดอซาลโว แต่ต่อมาคดีฆาตกรรมปริศนาเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เมื่อครอบครัวของหญิง 1 ในผู้ตายพบหลักฐานที่ส่อพิรุธ การรื้อคดีเป็นได้แค่การบังหน้าของตำรวจ ไม่มีความรับผิดชอบใดใดเพิ่มมากขึ้น เดอซาลโว จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือเปล่า หรือว่านักฆ่าจอมโหดผู้นี้ยังคงลอยนวลต่อไป จนบัดนี้มันยังคงเป็นปริศนา???
อันดับ 4 : สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส (THE LOCH NESS MONSTER : INVERNESS, SCOTLAND)
บนโลกนี้มีเรื่องให้พิสูจน์อีกมาก อย่างที่เรากำลังจะพาไปเยี่ยมเยือนสัตว์ประหลาด แห่งทะเลสาบล็อกเนส ในสก็อตแลนด์ เรื่องเล่าที่โด่งดังเกี่ยวกับสัตว์รูปร่างประหลาด เนสซี่ ตัวใหญ่ประมาณ 15 – 40 ฟุต มักโผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว หลายคนสนใจติดตามจับภาพสัตว์ประหลาดตัวนี้ แล้วบางอย่างก็เป็นจริง มีภาพของวัตถุลึกลับเคลื่อนไหวอยู่ในทะเลสาบชื่อก้องนี้ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรคนหลายคนต่างเชื่อว่า เนสซี่ สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ คอยาว มีครีบ นั้นมีอยู่จริง แต่เราจะได้เห็นหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับตัวเนสซี่เอง
อันดับ 3 : คร็อพเซอร์เคิล (CROP CIRCLES : AVEBURY, ENGLAND)วงกลมประหลาด รูปร่างแปลกๆหลายรูป ที่ยังคงต้องการคำตอบ เหตุแห่งการเกิด ชาวเมืองเอฟเบอรี่คุ้นเคยกับมันดี วงขนาดใหญ่ ยาวกว่า 200 เมตร กว้างร่วม 40 เมตร เกิดกระจัดกระจายไปทั่วทุ่งนา นำความเสียหายปนความสงสัยให้กับเจ้าของที่นาบริเวณ นั้นเป็นอย่างมาก มีทฤษฎีหลายทฤษฎีถูกตั้งขึ้นมาเพื่อตอบคำถาม ของคร็อพเซอร์เคิล มันอาจเป็นข้อความ หรือภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างมนุษย์ต่างดาว หรืออาจเป็นแค่วงกลมที่สร้างขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนใจ แค่นั้นเองก็ได้ คงไม่มีวันรู้
อันดับ 2 : ยักษ์แห่งเกาะอีสเตอร์ (EASTER ISLAND GIANTS : EASTER ISLAND, CHILE)เดินทางมาสัมผัสเกาะปริศนาที่โดดเดี่ยว เวิ้งว้างกลางมหาสมุทร รูปสลักหินลึกลับขนาดมหึมากว่า 800 รูป เรียงรายเต็มฝั่งทั่วเกาะ ทั้งที่ไม่มีคนอยู่ รูปสลักนี้มาจากไหน? สร้างขึ้นได้อย่างไร? อาจเป็นชาวโพลีนีเชียนชนพื้นเมืองที่มาตั้งรกรากเมื่อ ค.ศ.400 เป็นผู้สร้างขึ้น แต่ทำไมถึงสร้าง และอยู่บริเวณนี้ได้อย่างไรยังคงเป็นปริศนาดำมืด ด้วยวิวัฒนาการ ความรู้ของคนในสมัยอดีต เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยกหินที่หนักกว่า 75 ตันมาไว้ตามชายฝั่งได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงกระนั้นรูปปั้นเหล่านี้ก็ยังคงถูกทิ้งไว้เพื่อค้นหาคำตอบต่อไป
อันดับ 1 : แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ (JACK THE RIPPER : LONDON, ENGLAND)มันคงเป็นปริศนาต่อไป และน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะ ปริศนาอันดับ 1 ที่ยังคงค้างคาใจเรา ฆาตกรต่อเนื่อง แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ อาชญากรระดับโลกที่ยังจับตัวไม่ได้ การสังหารอย่างโหดเหี้ยมของเหยื่อหลายรายติดๆกันถูกกล่าวขานถึง ย่านอีสต์เอนด์ของลอนดอนสร้างชื่อกระฉ่อนถึงความน่าสะพรึงกลัว ไม่เพียงแต่ไร้วี่แววของฆาตกร การพิสูจน์ หรือทดสอบด้านนิติวิทยาศาสตร์ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร จึงไม่มีเหตุผล หรือหลักฐานหนักแน่นในการมัดฆาตกร จากคดีฆาตกรรมที่โด่งดังทำให้มีผู้ต้องสงสัยเกิดขึ้นมากมาย หลักฐานสำคัญต่างๆ ถูกผุดขึ้นมาภายหลัง จะเป็นไปได้มั้ยที่จะสืบสาวหาฆาตกรตัวจริงได้ แม้ฆาตกรคนนั้นคงไม่มีชีวิตอยู่ให้จับแล้ว แต่ก็ยังดีที่ได้รู้ว่าฆาตกรตัวจริงผู้นั้นคือใคร ?

ต้นกำเนิดโลกในทรรศนะของกรีก-โรมัน

หลายคนอาจเคยรู้มาบ้างแล้วว่าชาวกรีก-โรมันมีความเชื่อว่าโลกเรานี้แบน โดยมีแผ่นดินอยู่ตรงกลางและมีแม่น้ำล้อมรอบ มียอดเขาโอลิมปัสที่อาศัยของทวยเทพอยู่ใจกลางโลก ว่าแต่…แล้วโลกเกิดมาได้อย่างไรล่ะเดี๋ยวผมจะมาเล่าให้ฟังกันครับ
ต้นกำเนิดโลกในทรรศนะของกรีก-โรมันตามความเชื่อของชาวกรีก-โรมันเชื่อว่าก่อนที่โลกกลมๆใบนี้จะเกิดขึ้นนั้น แผ่นดิน น้ำและอวกาศยังปะปนกันโดยมีเทพองค์หนึ่งนามว่า เคออส(Chaos) ปกครองอยู่ร่วมกับชายานามว่านิกซ์หรือนอกซ์(Nyx/Nox) จนต่อมาลูกชายของทั้งสององค์คือ อีเรบัส(Erebus) เทพแห่งอนธกาล มาช่วย (น่าสนใจ...พ่อไร้รูป+แม่เทพีมืด=ลูกความมืด –ก็จะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะ-ผู้เขียน)

สิ่งแรกที่อีเรบัสทำก็คือปลดพ่อตัวเองลงจากตำแหน่งเพื่อขึ้นครองบัลลังก์แทนซะงั้น และแต่งงานกับแม่ตัวเอง แน่นอนสมัยนี้การแต่งงานกับพ่อหรือแม่ของตนเองเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจแต่ในสมัยนั้นยังไม่มีกฎ กติกา มารยาทใดกล่าวห้ามไว้จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่จะสมรสกับพ่อหรือแม่บังเกิดเกล้าของตัวเอง

อีเรบัสกับนิกซ์ก็มีลูกด้วยกันสององค์คือ อีเทอร์(Aether) และฮีเมรา(Hemera)แล้วก็เหมือนกรรมตามสนองเมื่อลูกทั้งสองพร้อมใจกันปลดพระบิดาและพระมารดาลงจากตำแหน่ง (น่าสงสารก็แต่นิกซ์ที่โดนปลดมาสองรอบแล้ว)

ด้วยความช่วยเหลือจากบรรดาเทพหลายๆองค์เช่น พอนตัสเทพแห่งทะเล(Pontus) กีอา/กี(Gaea/Ge) เทลลัสหรือเทอราเทพธรณี (Tellus/Terra) และอีรอสหรืออะมอร์เทพแห่งความรัก (Eros/Amor)-ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนเองก็ยังงงอยู่ว่าเป็นอีรอสองค์เดียวกับกามเทพหรือคิวปิดลูกของวีนัสรึเปล่า...ก็ชื่อเหมือนกันทำหน้าที่เดียวกันแต่อยู่คนละช่วงเวลานี่นา -*-

เมื่อโลกรวมกันเป็นโลกแล้วงานก็เหมือนจะเสร็จสิ้น ยกเว้นแต่ว่าบรรดาเทพทั้งหลายที่มานั่งมองหน้ากันด้วยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับโลกใบนี้ดี เทพอีรอสจึงหยิบเอาธนูผู้ให้ชีวิตแทงลงไปบนพื้นโลก ทันใดนั้นพื้นดินสีน้ำตาลก็เต็มไปด้วยสรรพชีวิตมากมายต้นไม้หลากหลายขนาดสารพัดชนิดแข่งกันชูช่อออกดอกออกผลกันเป็นการใหญ่ มีสายน้ำผุดขึ้นมาจากผิวดินไหลระเรื่อยไปเป็นแม่น้ำลงสู่ทะเลที่มีเทพพอนตัสดูแลอยู่
 
พิภพที่สร้างขึ้นมาในยุคนั้นตามความเชื่อของชาวกรีกเชื่อว่าเป็นรูปทรงเหมือนจานและมีบ้านเมืองของตนอยู่ตรงกลางโดยมีภูเขาโอลิมปัสซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของบรรดาเทพอยู่ที่ศูนย์กลาง

เทพเคออส อีเรบัส และนิกซ์ ล้วนแต่ถูกถอดถอนออกจากอำนาจโดยลูกของตนเหมือนเป็นวัฏจักรเมื่อต่อมา ยูเรนัส(Uranus) และกีอาทรงอำนาจมากกว่าบรรพบุรุษไม่ช้าก็บีบบังคับให้อีเทอร์และฮีเมราสละบัลลังก์

กีอาและยูเรนัสสมรสกันและให้กำเนิดอสุรเทพไททันส์(Titans)สิบสององค์ขึ้นมา ยูเรนัสเองก็เกรงว่ากรรมจะตามสนองจึงส่งลูกทั้งสิบสองเป็นหญิงหกชายหกลงไปขังไว้ที่ขุมนรกทาทาร์รัส(Tartarus)แล้วตรึงโซ่ตรวนไว้

ต่อมายูเรนัสก็ได้ลูกชายอีกสามจากชายากีอาเป็น ไซคลอปส์ (Cyclopes)สามตนและทั้งสามตนก็ตกที่นั่งเดียวกันกับพวกพี่ๆคือถูกส่งตัวไปยังทาร์ทารัสเช่นเดียวกันและก็เป็นอย่างเดียวกันกับน้องๆอีกสามคือ เซนติมานีเทพร้อยมือ (Centimani)



การกระทำของสวามีทำให้กีอาไม่พอใจอย่างมากจึงลงไปหาบรรดาลูกๆที่ขุมนรกทาร์ทารัสเพื่อยุยงส่งเสริมให้ลูกโค่นอำนาจจากพระราชบิดา โดยมีโอรสองค์หนึ่งที่เป็นองค์เล็กสุดในบรรดาไททันส์นามว่าโครนัสหรือที่รู้จักกันในนามแซเทิร์นเทพแห่งกาลเวลา(Cronus/Saturn) เกิดความฮึกเหิมที่จะไปต่อสู้กับพระบิดา กีอาได้ปล่อยเขาออกมาจากที่คุมขังพร้อมทั้งมอบอาวุธเป็นเคียวอาญาสิทธิ์ให้ และแล้วโครนัสก็จัดการกับพระบิดาได้ ก่อนที่จะสถาปนาตนเองขึ้นครองบัลลังก์นั้นยูเรนัสก็สาปแช่งให้โครนัสถูกลูกตัวเองขับไล่และยึดอำนาจเหมือนที่ตนได้ประสบ

โครนัสไม่ใส่ใจคำสาปแช่งของบิดา ขึ้นครองบัลลังก์ในที่สุดและได้เลือกเอาน้องสาวของตนนามว่ารีอา(Rhea)มาเป็นภรรยา ต่อมาเมื่อรีอาได้ให้กำเนิดทารกแก่โครนัส คำสาปแช่งของยูเรนัสก็ดังขึ้นมาในหัว ด้วยความรักตัวกลัวตายจึงสั่งให้รีอานำลูกที่เพิ่งเกิดมามอบให้ โดยไม่ฟังคำทักท้วงใดๆทั้งสิ้นโครนัสอ้าปากและกลืนทารกน้อยลงท้องไป

รีอาพยายามทุกครั้งที่เธอให้กำเนิดทารก อ้อนวอนให้โครนัสไว้ชีวิตลูกของเธอ จนกระทั่งลูกห้าคนถูกกลืนกินไปจนหมด รีอาก็ตั้งครรภ์อีก เธอตั้งใจว่าไม่ว่าอย่างไรทารกคนนี้ต้องอยู่รอดให้ได้

เมื่อครบกำหนดคลอดรีอาได้ให้กำเนิดทารกเพศชายออกมาและในทันใดนั้นโครนัสก็ได้ร้องเรียกเธอเพื่อกำจัดทารกน้อยที่เป็นเสี้ยนหนามของชีวิต รีอารีบเอาก้อนหินมาใส่ไว้แทนที่ทารกน้อย และเดินเข้าไปหาโครนัสด้วยน้ำตานองหน้ากอดก้อนหินเย็นชืดไว้แนบอกโครนัสหาได้สนใจน้ำตาของภรรยาไม่เขาฉวยห่อผ้านั้นมาและกลืนลงท้องไปโดยไม่ได้เปิดดูก่อนว่าข้างในนั้นจะใช่ทารกจริงรึเปล่า

ทางฝ่ายรีอาเองนั้นก็แกล้งทำเป็นกรรแสงก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป สองมือปิดหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มในความสำเร็จของการรักษาชีวิตลูกน้อย แต่ทารกนั้นไม่สามารถเลี้ยงไว้กับตัวได้

ความเดิมจากตอนที่แล้ว...หลังจากที่เทพมารดารีอาแกล้งนำก้อนหินห่อผ้าส่งให้พระสวามีสวาปามเข้าไปแล้ว เธอก็วิ่งออกจากห้องไป เมื่อกลับไปที่ห้องบรรทมก็จ้องมองลูกน้อยที่เพิ่งรอดชีวิตมาหยกๆ พลางคิดว่าเธอจะเลี้ยงดูเทพทารกองค์น้อยนี้ได้อย่างไร ถ้าลูกอยู่กับเธอซักวันความลับก็ต้องถูกเปิดเผย

ดังนั้นทารกน้อยจึงถูกเธอส่งไปไว้ที่เกาะครีตบนยอดภูเขาไอดา และให้นางแพะที่ชื่อว่าอมัลธีอา(Amaltheia)เป็นแม่นม ทารกคนนั้นมีชื่อเพราะพริ้งว่า จูปิเตอร์(Jupiter) ทารกน้อยจูปิเตอร์หรือโจฟนี้มีพี่เลี้ยงเป็นบรรดานางไม้มีเลียน(Meline Nymphs)

และเพื่อป้องกันไม่ให้เสียงร้องไห้ของทารกดังขึ้นไปถึงยอดเขาโอลิมปัส นักบวชในกลุ่มของเทพีรีอาที่มีชื่อเรียกว่าคิวเรตีส(Curetis) ก็มักจะร้องเพลงสงครามบ้าง ทั้งส่งเสียงหวีดร้อง บ้างก็ทำเสียงดังโฉ่งฉ่างเพื่อกลบเสียงร้องของทารกนั้นเสีย เทพโครนัสไม่ได้เอะใจเลยแม้แต่น้อยว่าโอรสยังคงมีชีวิตอยู่ต่ำลงไปเบื้องล่าง

ซีอุสกับแม่นม อมัลธีอาแล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่เทพยูเรนัสได้สาปแช่งไว้ ครั้นโจฟเติบใหญ่เป็นหนุ่มล่ำก็รวบรวมบรรดาทวยเทพองค์อื่นๆที่ค่อนข้างไม่ชอบการปกครองของโครนัสแล้วยกทัพขึ้นสู้รบกับบรรดาเทพวงศ์ไททันส์ ฝ่ายอสุรเทพไททันส์มีแอตลาส(Atlas)เป็นขุนพลใหญ่ ส่วนทางด้่านจูปิเตอร์นั้นมีกำลังหลักเป็นยักษ์ไซคลอปส์ที่เจ็บแค้นฝ่ายไททันส์เป็นทุนเดิม ก็เพราะว่าไททันส์นั้นเอาพวกไซคลอปส์มาเป็นทาสรับใช้นั่นเอง ทางด้านไซคลอปส์ที่เคยเป็นทาสของฝ่ายตรงข้ามก็รีบหันมาเข้าพวกกับจูปิเตอร์ทันที และยังนำอาวุธร้ายของพวกไททันส์คือสายฟ้ามามอบให้เสียอีก ด้วยพละกำลังและแสนยานุภาพในที่สุดโจฟก็ชนะและขึ้นครองบัลลังก์ ก็เป็นธรรมดาที่ผู้แพ้จะต้องถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ไททันส์จำนวนมากถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดิน ยกเว้นแม่ทัพใหญ่คือแอตลาสที่โดนโทษหนักหน่อย...ก็แค่ถูกลงโทษให้ยืนแบกสวรรค์ตลอดกาลเท่านั้นเองจนมีอยู่ช่วงหนึ่ง---ยังไม่เล่าดีกว่า เก็บไว้ก่อน อิอิ

แอตลาสแบกสวรรค์แต่ไม่ใช่ไททันส์ทุกตนจะโดนจองจำนะคะ ยังมีไททันส์บางส่วนที่มีความเป็นกลาง เรียกว่าเป็นพวกไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดว่างั้นเถอะ ก็ยังสามารถอยู่กับรัฐบาลใหม่ได้อย่างสบาย อาทิเช่น โอเชียนนุส(Ociennus)และไฮเปอเรียน(Hyperion)

เมื่อชนะสงครามแล้วเจ้าสวรรค์องค์ใหม่จึงมอบหมายให้เมทิส(Metis)ลูกสาวของโอเชียนนุส ปรุงยาวิเศษขึ้นเพื่อให้โครนัสขยอกเอาพี่ๆทั้งห้าของตนออกมา อันได้แก่ เนปจูน(์Naptune)พลูโต(Pluto) เวสต้า(Vesta) ซีรีส(Ceres) และจูโน่(Juno)

ก็อย่างที่เราๆท่านๆรู้กันนะคะ เนปจูน ได้เป็นเจ้าผู้ครองแผ่นน้ำ พลูโต ก็เป็นใหญ่ในยมโลก เวสต้าเป็นเทพีแห่งคหกรรม ซีรีสเป็นโพสพเทวี คล้ายๆบ้านเรานั่นแล และสุดท้าย จูโน่ กลายเป็นชายาเอกของจูปิเตอร์(ก็ว่า...ทำไมถึงเกรงใจจัง)

หลังจากที่เพลี่ยงพล้ำตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แก่โอรสของตนเองแล้วจึงยกพลพรรครักเอยไปอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าเฮสเพอเรียหรืออิตาลีในปัจจุบันนั่นเอง

แต่ก็แน่นอนการขึ้นครองบัลลังก์ของโจฟก็ใช่ว่าจะเป็นสุขไปเสียทีเดียวนะคะ วันหนึ่งเทพีกีอาก็ทรงสร้างอสูรร้ายกาจขึ้นมาตนหนึ่งนามว่าไทฟอน(Typhon)ลักษณะน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ที่ลำตัวนั้นมีมังกรร้อยหัวโผล่ออกมา ดวงตา จมูก และปากมีเปลวไฟบรรลัยกัลป์พวยพุ่งตลอดเวลา ทำให้ทวยเทพที่สิงขรโอลิมปัสหวาดกลัวอย่างแรงจนพากันลี้ภัยไปอยู่ที่อียิปต์นู่นเชียว การไปในครั้งนั้นบรรดาเทพต่างแปลงกายเป็นสัตว์ต่างๆเพื่อที่เจ้าอสูรไทฟอนจะไม่สามารถจำได้ เช่น จูปิเตอร์เองนั้นแปลงร่างเป็นแกะ เทพีจูโน่กลายร่างเป็นวัว

ในไม่ช้าบรรดาเทพก็รู้สึกอับอายที่จะต้องหลบหนีอยู่แบบนี้ ภายใต้การนำของจูปิเตอร์ที่ยกทัพกลับไปที่โอลิมปัสนั้นก็เพื่อสังหารไทฟอนเสีย  สงครามย่อยๆแต่ยาวนานได้เกิดขึ้น จนในที่สุดจูปิเตอร์ก็เป็นฝ่ายชนะ

อย่างที่คิดกันแหล่ะค่ะ ไม่นานนักกีอาก็ส่งอสูรร้ายมาอีกตน นามว่าเอนซีลาดัส(Enceladus) อืม...ตัวนี้หน้าตาเป็นไงน๊า...คิคิ อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ พยายามหารูปมาให้ดูกันแต่ไม่สามารถอ่ะค่ะ เอาไว้หาเจอก่อนนะคะ เอนซีลาดัสถูกโค่นลงได้ในที่สุดและจูปิเตอร์ก็จับมันขังไว้ในถ้ำใต้ภูเขาแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าเอตน่า(Aetna)ช่วงแรกมันจะคำรามและพยายามพ่นไฟขึ้นมาทำร้ายผู้จับมันขังไว้

บัดนี้โจฟมีชัยเหนือศัตรูทั้งปวงและอยู่อย่าสุขโขสโมสรบนยอดสิงขรโอลิมปัส และในที่สุดเมื่อพวกไททันส์คิดได้ว่าการยอมรับจูปิเตอร์ไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไรนัก จึงยอมอ่อนข้อและศิโรราบให้เจ้าสวรรค์ในที่สุด
จากคราวที่แล้ว หลังจากการขึ้นครองบัลลังก์ของโจฟได้ไม่นาน เจ้าสวรรค์ก็มีความรู้สึกว่าโลกนี้ช่างเงียบเหงาวังเวงเสียนี่กระไร ท้าวเธอจึงรับสั่งเรียกอีรอสเข้ามาพบแล้วปรารภว่าอยากให้โลกนี้มีสีสันทำอย่างไรดี เจ้าจงไปคิดมา

เทพอีรอสเทพแห่งความรักก็ได้นิ่งคิดแล้วเรียก โพรมีทีอัส (Prometheus) และ อีพิมีทีอัส(Epimetheus) บุตรแห่ง ไออาพีทัส (Iapetus) และ ไคลมินี(Clymene) มาช่วยพระองค์
อีพิมีทีอัสผู้น้องได้เสกสรรปั้นแต่งบรรดาสัตว์เดรัชฉานทั้งหลาย เขาได้ให้อาวุธป้องกันตัวแก่สัตว์เหล่านั้นไปจนหมดสิ้น ทั้งเขี้ยว เล็บ ขนหยาบหนา และพละกำลัง (ดีแค่ไหนคะที่อีพิมีทีอัสเอาเขี้ยว เล็บ ขนหยาบหนา ให้สรรพสัตว์ไปหมด แฮ่ะๆจริงๆไม่ต้องเหลือไว้ให้มนุษย์ก็ดีค่ะ)เมื่อโพรมีทีอัสกลับมาเห็นสรรพสัตว์ที่กำลังวิ่งวุ่นวายอยู่ในที่พักก็ตกใจ ว่าน้องไม่รู้จักยั้งคิดเสียก่อน เขาได้แต่ส่ายหัวแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานที่ตนตั้งใจไว้

และแล้วผลงานของโพรมีทีอัสก็เสร็จสิ้น สิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาได้ถอดแบบมาจากบรรดาเทพเจ้า เป็นสัตว์สวยสง่า ยืนด้วยสองขาหลัง กระดูกสันหลังตั้งฉากกับพื้นโลก เทพอีรอสได้เป่าลมหายใจเข้าไปเป็นการมอบจิตใจให้ ส่วนเทพีมินอร์วาได้มอบวิญญาณให้ มนุษย์จึงมีชีวิตเคลื่อนไหวได้ – มนุษย์ตนแรกเป็นผู้ชายค่ะ และก็มีเพศชายเพียงเพศเดียวจนกระทั่ง...เกิดเรื่องราวต่อมา ยังไม่เล่าค่ะ ค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้นตอน
โพรมีทีอัสผู้พี่ได้เกิดความรักในสิ่งที่ตนสร้างขึ้นอย่างเหลือเกินจึงคิดมอบของขวัญอันพิเศษสุดให้แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาทบทวนดูว่าสิ่งใดที่มนุษย์ต้องการ ในเมื่อโลก ณ เวลานั้นเต็มไปด้วยความสะดวกสบายทุกสิ่ง มีผลไม้ใีห้เก็บกินอย่างเหลือเฟือ แม่น้ำ ลำธารไหลริน มีแม้กระทั่งน้ำผึ้งหวานหอมที่หยดหยาดจากรวงผึ้งสีทองอร่าม อย่างนี้แล้วมนุษย์จะยังต้องการอะไรอีกเล่า


ท่ามกลางความสว่างในตอนกลางวันช่างเป็นเวลาที่สวยงามเสียนี่กระไร แล้วเมื่อยามสนธยาย่างกรายมาถึงโลกนี้ก็พลันมืดมิด ไฟ! สิ่งที่มนุษย์สมควรได้รับคือไฟนั่นเอง แต่เขาจะอาจหาญเอามาได้อย่างไร ในเมื่อไฟนั้นเป็นเอกสิทธิ์ของทวยเทพไม่มีทางที่บรรดาเทพจะยินยอมให้ในสิ่งที่สูงค่าอย่างนั้น มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือการขโมยเอา

คิดได้ดังนั้นโพรมีทีอัสของเราก็ได้จรลีไปยังยอดเขาโอลิมปัสเพื่อหาทางขโมยเอาไฟมาให้มนุษย์ เมื่อสบโอกาสเขาก็ฉวยเอาไฟกองเล็กๆมากองหนึ่งซ่อนไว้ในอกเสื้อแล้วส่งไปให้มนุษย์ที่รับมาด้วยความสำนึกในพระคุณ


โพรมีทีอัสขโมยไฟจากสวรรค์
ไม่นานสิ่งที่โพรมีทีอัสคิดไว้ก็เป็นจริงเมื่อ จูปิเตอร์เองทัศนาลงมาจากยอดเขาโอลิมปัสเห็นแสงสว่างวับแวมผิดปกติ จึงสังเกตดูและสืบพบว่าตัวการของเรื่ืองนี้คือ โพรมีทีอัส นั่นเอง จูปิเตอร์โกรธมากที่เทพของท่านเองกล้ากระตุกหนวดเสือเช่นนี้ ถึงกับออกปากว่าจะลงโทษโพรมีทีอัสอย่างเต็มที่ โทษที่โพรมีทีอัสได้รับคือการถูกมัดติดไว้ที่ชะง่อนผาและมีพญาแร้งตัวมหึมาคอยตะกุยเนื้อที่สีข้างให้เป็นรูเพื่อจิกเอาตับออกมากิน การลงทัณฑ์นี้วนเวียนอยู่เป็นเวลานาน
เมื่อถึงเวลากลางคืนที่พญาแร้งกลับไปเกาะคอนนอนแล้ว บาดแผลที่ได้รับเมื่อตอนกลางวันก็จะสมานกันดังเดิม ตับของโพรมีทีอัสก็จะเติบโตขึ้นใหม่

ครั้นเมื่อเทพอพอลโลชักรถเทียมม้าออกสู่ฟากฟ้า ให้แสงสว่างส่องกระจ่างไปทั่วโลกพญาแร้งก็จะกลับมาทำหน้าที่ของตนเช่นเดิม เป็นอย่างนี้ยาวนาน จนกระทั่งมีผู้มาช่วยนามว่า เฮอร์คิวลิส (Herculis) ซึ่งจะได้กล่าวถึงในคราวต่อไป


ค่ะ ต่อไปเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับอิพิมีทีอัสคนน้องบ้างละนะคะ หลังจากที่จูปิเตอร์ได้ลงทัณฑ์โพรมีทีอัสไปแล้วก็ได้ทรงคิดแค้นบรรดามนุษย์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง จึงได้เรียกรวมประชุมเทพทั้งหมดเพื่อหาทางแก้แค้น

มนุษย์เพศหญิงคนแรกจึงได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นการแก้แค้นนั่นเองค่ะ หญิงสาวสวยสะคราญนางนี้มีนามว่า แพนดอร่า (Pandora) จูปิเตอร์ได้ส่งนางไปให้โพรมีทีอัสแต่เขาปฏิเสธเพราะเชื่อว่าสิ่งใดก็ตามที่มาจากเทพเจ้านั้นน่าจะไม่ดีต่อเขาเป็นแน่ แต่น้องชายของเขาไม่เป็นเช่นนั้น

เพียงแค่ได้พบหน้าน้องนางก็เล่นเอาใจละลาย อิพิมีทีอัสรีบรับนางไว้ในอ้อมแขนอย่างเต็มอกเต็มใจ แม้ว่าพี่ชายจะว่าอย่างไรเขาก็หาฟังไม่ ทั้งสองอาศัยอยู่ด้วยกันในถ้ำของอิพิมีทีอัส แต่ละวันที่ผ่านไปช่างมีความสุขเสียนี่กระไร อีพิมีทีอัสมักจะออกไปนอกถ้ำเพื่อเดินเล่นในผืนป่าเขียวชอุ่มร่วมกับแพนดอร่า อยู่มาวันหนึ่งเมอร์คิวรีได้เดินทางผ่านมาบริเวณผืนป่าที่ทั้งสองกำลังเดินเล่นกันอยู่ด้วยสภาพเนื้อตัวมอมแมม บนบ่าแบกหีบไม้ใบใหญ่สวยงามเอาไว้ ตามประสาผู้หญิงแพนดอร่านึกสงสัยถึงสิ่งที่อยู่ในหีบ นางจึงแอบกระซิบให้สามีสอบถามว่ามีสิ่งใดอยู่ในหีบใหญ่นั้น

แต่เมอร์คิวรี่เลี่ยงที่จะไม่ตอบแล้วจากไปโดยสั่งไว้ว่าขอฝากหีบใบนี้ไว้และห้ามเปิดหีบใบนี้เด็ดขาด อิพิมีทีอัสก็ยกหีบไปไว้ที่มุมถ้ำโดยไม่ได้สนใจอะไรต่อไป เป็นฝ่ายหญิงนั่นเองที่เกิดความสงสัยหนักเข้าไปอีก ยิ่งเจ้าของห้ามยิ่งอยากรู้ว่าอะไรอยู่ข้างในเธอเดินไปเยี่ยมๆมองๆอยู่พักหนึ่ง พยามยามแง้มเปิดฝากล่องสักหน่อยเพียงแค่ขอแอบมองเข้าไปนิดเดียวเท่านั้นเอง
อิพิมีทีอัสเห็นท่าทางของนางก็ได้กล่าวกับนางว่า สิ่งนี้ไม่ใช่ของของเรา เราไม่ควรจะไปยุ่ง ยิ่งเจ้าของเขาสั่งห้ามไว้ขนาดนั้นแล้วยิ่งไม่ควรเป็นอย่างยิ่งทำให้เธอขัดเคืองใจเป็นอย่างมาก ถึงกับงอนหนีไปนั่งอยู่ท้ายถ้ำ อิพิมีทีอัสพยายามชวนนางออกไปเดินเล่นข้างนอกนางก็ไม่ไป จนกระทั่งเขาเกิดความรำคาญและเดินจากไปลำพัง คิดว่าเมื่อเขาจากไปซักพักนางอาจอารมณ์ดีขึ้นและคงกลับมาน่ารักเหมือนเดิม

เมื่ออิพิมีทีอัสจากไปนางก็ยิ่งเดินงุ่นง่านไปมาเหมือนเสือติดจั่น จนกระทั่งนางรู้สึกหรือคิดว่าตนเองรู้สึกว่าได้ยินเสียงดังมาจากในหีบ นางเดินเข้าไปใกล้ๆหีบและยืนลังเลอยู่ด้วยความไม่แน่ใจ จะมีเสียงดังออกมาจากหีบได้อย่างไร นางจึงเอาหูไปแนบ มีเสียงดังออกมาจากหีบจริงๆ
“แพนดอร่า ได้โปรดปล่อยเราไปเถอะ เราไม่อยากอยู่ในนี้” แพนดอร่าถอยมานิดหนึ่ง เสียงนั้นยังคงดังอยู่ “ได้โปรด....” นางลังเลอยู่พักหนึ่ง เสียงลึกลับคร่ำครวญอย่างน่าเวทนาดังกล่าวยังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง นางจึงตัดสินใจเปิดฝาหีบขึ้น


แพนดอร่ากับหีบแห่งหายนะ!
ทันใดก็มีฝูงแมลงชั่วร้ายที่มีชื่อว่า ความลำบาก ความเจ็บปวด ความทุกข์ ฯลฯ กรูกันออกมาจากหีบและรุมต่อยทำร้ายเธอ เสียงหวีดร้องของแพนดอร่าดังไปถึงหูของอิพิมีทีอัสผู้เป็นสามี เขารีบกลับมาที่ถ้ำและพบว่าแพนดอร่าคนงามกำลังโดนรุมทำร้าย เขารีบวิ่งไปปัดเหล่าแมลงพวกนั้น จึงพลอยโดนทำร้ายไปด้วย ซักพักแมลงเหล่านั้นก็บินออกทางหน้าต่างไป เสียงมนุษย์กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากการโดนแมลงต่อย

แพนดอร่านั่งร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของสามี พลันนั้นก็มีเสียงดังออกมาจากหีบอีกขอร้องว่าให้ปล่อยไป แพนดอร่าเงยหน้าสบตาสามีเป็นเชิงขอความเห็น อิพิมีทีอัสพยักหน้าตอบเพราะคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว เมื่อเปิดฝากล่องออกมาก็ปรากฏร่างของ ความหวัง (Hope) บินออกมาจากกล่องเพื่อปลอบโยนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ

อันที่จริงความหวังไม่ได้ทีอยู่ในกล่องหรอกค่ะแต่มีเทพใจดีองค์หนึ่งแอบเอาใส่ไว้ให้ ความหวังได้โบยบินไปทั่วเพื่อปลอบใจผู้บาดเจ็บทั้งหลาย ผู้ที่ท้อแท้ก็พลันมีความหวังขึ้นมาว่าอะไรอะไรต้องดีขึ้น ผู้ที่กำลังอ่อนล้าก็กลับมีกำลังใจขึ้นมาใหม่

Mystery of The Mothman : ตำนานแห่งมนุษย์แมลง

เจ้า Mothman เนี่ยเป็นสิ่งมีชีวิตปริศนา ที่พบกันที่ West Virginia มีลักษณะคล้ายๆค้างคาวปนตัวมอธ ลักษณะท่าทางการเคลื่อนไหวเหมือนค้างคาวบวกผีเสื้อกลางคืน พบเห็นเป็นครั้งแรกเมื่อ 12 พ.ย. ค.ศ. 1966 และก็พบเห็นกันเรื่อยมา

อาจกล่าวได้ว่าทศวรรษที่ 70-80 นั้น Mothman ถือเป็นตัวประหลาดแห่งปี เพราะมีข่าวของการพบมันกันหนาหูมากๆ แรกทีเดียวนั้น ตำรวจและเจ้าหน้าที่ คิดว่าเป็นแค่การเล่นพิเรนทร์ของวัยรุ่นหรือพวกจิตป่วนที่คิดจะแต่งตัวเลียนแบบ Batman ซึ่งเป็นทีวีซีรี่ย์ที่ดังมากๆในสมัยนั้น เอาไปเอามาชักไม่ใช่แล้วสิครับ เพราะ Mothman ไปเกี่ยวพันกับปรากฏการณ์สยองหลายๆครั้ง เช่น การถล่มของสะพาน Silver Bridge ตึกถล่ม หรือแม้แต่การปรากฏของ UFO ในหลายๆครั้ง ไม่มีใครรู้ว่า Mothman แท้ที่จริงคือตัวอะไรกันแน่ แต่ข่าวที่เชื่อได้ก็คือ ในช่วงที่ Mothman ปรากฏตัว จะมีชายแปลกหน้าใส่ชุดสีดำ หรือ น้ำตาลป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณใกล้เคียงเสมอๆ (ยังกะ MIB เลยแฮะ)

ถึงอย่างนั้นก็มี Mothman เก๊หลายตัวครับ ที่โดนจับได้ว่าปลอมตัวมาแหกตาชางบ้านในรอบหลายปีที่ผ่านมา เอาเป็นว่า ถ้าว่างแล้วจะเอาเรื่องแบบเต็มๆของ Mothman มาลงให้อ่านก็แล้วกันนะครับ ตอนนี้ขอติดไว้ก่อน

:: ภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับมอธแมน ::
สะพานซิลเวอร์ถล่ม
เพียงไม่กี่เดือนก่อนการถล่มของสะพานซิลเวอร์ สภาพของเมืองพอยท์ พลีเซนท์ รัฐเวสท์เวอร์จิเนียกำลังตกอยู่ในความระส่ำระสายจากเหตุแปลกประหลาดมากมาย มีรายงานการพบเห็นม็อทแมน (Mothman) มากกว่าร้อยชิ้น การพบเห็นจานบินยูเอฟโอ (UFO) มากมาย และการถูกก่อกวนโดยมนุษย์ตัวเขียว ชาวเมืองบางคนมีความรู้สึกว่าม็อทแมน (Mothman) กำลังส่งสัญญาณเตือนบางประการมายังพวกเขา ทว่าก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้จนกระทั่งถึงช่วงเทศกาลคริสต์มาสของปีเดียวกันนั้น
สะพานซิลเวอร์เป็นสะพานที่ก่อสร้างขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ด้วยการที่มันถูกยึดโยงไว้ด้วยโซ่เส้นใหญ่ มันมีอายุใกล้จะ 40 ปีแล้วในปี 1967 และเพราะการก่อสร้างนั่นเอง ที่ทำให้แค่ความผิดพลาดของหนึ่งข้อต่อของสายโซ่ก็พอจะเป็นสาเหตุให้สะพานทั้งหลังถล่มลงในทันที และมันก็เกิดขึ้นจริงๆในวันที่ 15 ธันวาคม 1967 ซึ่งจากสภาพอันผุกร่อนและอายุที่ยาวนานของมัน ตัวสะพานกลับยังคงถูกใช้งานอย่างหนักในการจราจรอันหนาแน่นช่วงเทศกาลคริสต์มาส และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ไฟควบคุมการจราจรที่อยู่บนปลายด้านหนึ่งของสะพานไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งสาเหตุที่มันใช้งานไม่ได้กลับไม่ได้ถูกหยิบยกมาพิจารณา ตอนเย็นของวันที่ 15 ธันวาคม 1967 สะพานซิลเวอร์ก็ถล่มลงมาในช่วงที่การจราจรกำลังหนาแน่น ชาวเมืองจำนวน 46 คนเสียชีวิตจากเหตุการณ์หายนะครั้งนี้ ทันทีที่รถยนต์ของพวกเขาจมลึกลงไปในแม่น้ำโอไฮโออันเย็นเฉียบก่อนจะถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดินเพียงเล็กน้อย มันเป็นหายนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในเมืองพอยท์ พลีเซนท์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีจำนวนพลเมืองน้อยกว่า 6,000 คน

หนึ่งในผู้โชคดีที่รอดชีวิตซึ่งขับรถขึ้นไปบนสะพานก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุหายนะเพียงไม่นาน เล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า "มีความรู้สึกมั่นใจมากๆว่ามีบางอย่างที่ไม่สู้ดีกำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งฉันไม่อาจเพิกเฉยต่อมันได้" เธอตัดสินใจกลับรถและถอยหลังออกมาจากสะพาน และได้เห็นในวินาทีต่อมาว่าสะพานได้ถล่มลงมาต่อหน้าต่อตาเธอ บางทีอาจเป็นเพราะม็อทแมน (Mothman) มีความผูกพันเป็นพิเศษกับเด็กๆ ซึ่งล่วงรู้ในสิ่งที่เธอไม่รู้ - เธอกำลังตั้งครรภ์ลูกแฝด ถึงแม้จะมีบางคนที่ยืนยันว่าเป็นเพราะเหล็กที่ใช้สร้างสะพานเกิดหักอย่างกะทันหัน แต่ก็มีรายงานจำนวนมากที่ระบุว่าเห็นแสงไฟสว่างวาบบนท้องฟ้าอันมืดมิดเหนือสะพานก่อนหน้าที่มันจะถล่ม

เชอร์โนบิล

เดือนเมษายนปี 1986 เกิดข่าวลือแพร่สะพัดในหมู่พนักงานทุกระดับของโรงงานไฟฟ้า ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ เมืองยูเครน (Ukraine) พนักงานทั้งชายและหญิงหลายคนต่างก็รายงานว่าได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาด ซึ่งมักจะเคลื่อนไหวไปมาอยู่ตลอดเวลา บางคนถึงกับฝันร้ายติดต่อกันหลายครั้ง บางคนก็ได้รับโทรศัพท์ข่มขวัญคุกคามอยู่บ่อยๆ อย่างน้อย 4 คนได้เคยเห็นสัตว์ประหลาดที่ใครๆต่างก็พูดกันว่าเป็นมนุษย์ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวดำ ปราศจากศีรษะ ทว่ามีปีกมหึมาติดอยู่ด้านหลังและมีดวงตาสีแดงเพลิง อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้าของวันเกิดเหตุนั้น ข่าวลือทั้งหลายต่างก็ต้องหยุดลงเมื่อถึงเวลาการทดสอบเตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 (Reactor 4) ตามตารางที่ได้กำหนดไว้แล้ว โดยได้มีการเตรียมพร้อมรับกับระดับพลังงานลดลงที่จะเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่หลายคนต่างก็มีความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัดว่า อาจเกิดเหตุหายนะบางอย่างขึ้นในโรงงานไฟฟ้าแห่งนี้ จากการที่พวกเขาได้รับสัญญาณเตือนลึกลับหลายๆคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขาจึงต้องการให้มีการเตรียมพร้อมสำหรับอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้น เตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่ามีระดับพลังงานขั้นต่ำที่ผันแปรอยู่ตลอดเวลา และทันทีที่มันถูกเปิดเครื่องให้กำเนิดไฟฟ้าในตอนเช้าของวันที่ 26 เมษายน 1986 โรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์เชอร์โนบิลก็เกิดระเบิดขึ้น มีคนจำนวน 30 คนที่เสียชีวิตในเช้าวันนั้น และมากกว่า 10 คนที่ได้รับผลกระทบจากการแผ่กระจายของกัมมันตภาพรังสี แร่กราไฟท์ (graphite) ในเตาปฏิกรณ์นั้นต้องใช้เวลาในการเผาไหม้นานถึง 9 วัน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เกิดความเสียหายจากการแผ่รังสีไปทั่วพื้นที่แถบนั้น และในขณะที่เฮลิคอปเตอร์กำลังบินวนรอบๆบริเวณเพื่อโปรยทรายจำนวน 500 ตัน รวมทั้งดินเหนียว, ตะกั่วและสารเคมีอื่นๆลงบนกองเพลิง เหล่าพนักงานที่รอดชีวิตต่างก็จ้องมองด้วยความไม่เชื่อสายตาตนเอง ที่เห็นนกยักษ์สีดำขนาด 20 ฟุตกำลังบินวนเวียนอยู่ในกลุ่มควันจากเปลวไฟ

จีน
ในปี 1926 หนึ่งในเหตุการณ์หายนะทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นบริเวณเทือกเขาทางแถบภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งหนึ่งในเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ทว่าใหญ่เป็นอันดับสองของเขื่อนในประเทศจีน) คือ เขื่อนเซี่ยวเต (Xiaon Te) เขื่อนนี้ได้พังลงมาในตอนบ่ายแก่ๆของวันที่ 19 มกราคม 1926 ส่งผลให้น้ำจำนวนกว่า 40 พันล้านแกลลอนไหลทะลักลงสู่บริเวณพื้นที่เพาะปลูกอันสงบเงียบทางด้านใต้เขื่อน ประชาชนจำนวนกว่า 15,000 คนเสียชีวิต ขณะที่เมืองทั้งเมืองจมลงสู่กระแสอุทกภัยอันเชี่ยวกราก อย่างไรก็ตาม บ้านหลายหลังซึ่งถูกกระแสน้ำพัดกวาดไปไกลเป็นไมล์ๆกลับไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่นิดเดียว ในบรรดาผู้รอดชีวิตแทบทุกรายต่างก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการได้เห็นหรือได้ยินเกี่ยวกับ "มนุษย์มังกร" ผู้มีร่างสีดำ ซึ่งมาปรากฏตัวต่อหน้าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายในบริเวณโดยรอบของที่เกิดเหตุ ผู้เห็นเหตุการณ์ได้ให้คำอธิบายถึงความหายนะครั้งนี้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก เนื่องจากบันทึกทางสถิติของหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ได้ถูกทำลายไป เมื่อครั้งที่ระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ได้เข้ามามีอำนาจในประเทศจีน

เบอร์มิวด้า วันที่ 3 มิถุนายน 1983 อัลลิสัน แม็คคาร์รี่ย์ (Alison McCarrey) วางแผนที่จะทำตามฝันของตนและสามี เอริค (Eric) ในการไปเที่ยวชายหาดเบอร์มิวด้า ก่อนวันเดินทางหนึ่งวัน เธองีบหลับไปพักหนึ่งและตื่นขึ้นมาเพื่อรับโทรศัพท์ประหลาดๆ ซึ่งเธอบอกว่าได้ยินเสียงเหมือนรหัสมอร์ส (Morse Code) ส่งเสียงกรีดแหลมแสบแก้วหูและเต็มไปด้วยคลื่นแทรกรบกวน เธอคิดที่จะอัดเสียงจากโทรศัพท์นี้ให้สามีซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับรหัสมอร์สได้ฟัง แต่สายโทรศัพท์กลับถูกตัดไปเสียก่อน เธอจึงกลับไปงีบต่อและตื่นขึ้นมาในตอนเย็นจึงรู้ว่าได้เผลอหลับไปนานถึง 6 ชั่วโมงเลยทีเดียว ตั้งแต่นั้นเธอก็มัวแต่คิดถึงความฝันอันรบกวนจิตใจเกี่ยวกับร่างมนุษย์สีเทาที่มีปีกสีดำกำลังจ้องมองเธออยู่ ขณะที่เธอกำลังจมลงสู่ใจกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล สามีของเธอกลับถึงบ้านไม่นานหลังจากนั้น และเธอก็ไม่ได้เอ่ยถึงความฝันนั้นออกมาเลย

คืนเดียวกันนั้น เธอนอนไม่หลับและได้ยินเสียงสุนัขพันธุ์สก๊อตต์เทอร์เรียร์ของเธอเอาแต่ส่งเสียงคำราม และพยายามตะกุยพื้นหน้าประตูชั้นล่างอย่างแรง เธอจึงลงไปดูให้รู้และเมื่อมองออกไปนอกบ้าน เธอเล่าให้ฟังในตอนหลังว่า "ฉันอยากจะหัวเราะด้วยความไม่เชื่อสายตาตัวเอง แต่ฉันก็หัวเราะไม่ออก มันเหมือนกับมีมือมาบีบคอฉัน ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกหวาดกลัวมาก"

บนสนามหญ้าหน้าบ้านของเธอ ปรากฏร่างของชายรูปร่างสูงใหญ่มีปีกซึ่งเป็นคนๆเดียวกับที่เธอเห็นในฝันกำลังยืนอยู่ แล้วชายผู้นั้นก็บินตรงมายังหน้าต่างที่เธอมองออกมา "เขาไม่ได้ขยับเขยื้อนส่วนใดของร่างกายเลย เขาแค่ลอยมาใกล้ๆฉันอย่างทันทีทันใดก็เท่านั้น" แล้วด้วยเสียกรีดร้องอันเต็มไปด้วยความสยองขวัญของเธอก็ปลุกให้สามีเธอตื่นขึ้นมา และเขาก็มาพบเธอกำลังยืนตัวสั่นอยู่ตรงโถงทางเดินของบ้าน เธอเล่าเรื่องทั้งหมดให้สามีฟังพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วย จนกระทั่งในวันถัดไปเธอก็ยังไม่หายจากอาการตัวสั่น สามีของเธอจึงตัดสินใจเลื่อนการเดินทางออกไป

พวกเขาได้พบในเวลาต่อมา เมื่อเพื่อนๆได้โทร.มาหาด้วยความประหลาดใจที่ทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ เนื่องด้วยเครื่องบินที่คาดว่าทั้งสองจะโดยสารไปด้วยนั้น ได้หายสาบสูญไปในพายุที่เกิดขึ้นบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า และไม่มีใครได้ยินข่าวคราวจากมันอีกเลย


ชิคาโก้
ในปี 1951 มีสิ่งแปลกประหลาดหลายประการเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งความตื่นตระหนกต่อสีแดง, ความหวาดกลัวระเบิด และการตามล่าแม่มด ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็ตกอยู่ในอาการหวั่นไหวเล็กๆน้อยๆกับระยะเริ่มต้นของสงครามเย็น และเมืองชิคาโก้ก็ต้องประสบกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ หลายวันก่อนเกิดแผ่นดินไหว ผู้คนที่กำลังล่องเรือในทะเลสาบมิชิแกน (Lake Michigan) ต่างให้การว่ามองเห็นสัตว์ประหลาดร่างยักษ์สีดำหรือ "นกพิราบจากอเวจี" กำลังบินอยู่บริเวณเส้นขอบฟ้าของชิคาโก้ ส่วนพนักงานที่ทำงานล่วงเวลาบนตึกสูงก็รายงานว่ามองเห็นแสงไฟกระพริบวิบวับอยู่เหนือทะเลสาบมิชิแกนเช่นกัน ในวันเกิดแผ่นดินไหวคือวันที่ 5 พฤษภาคมก็มีรายงานหลายฉบับกล่าวถึงสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ ซึ่งตรงมาเคาะประตูบ้านของพวกเขา หรือที่ยิ่งแปลกไปกว่านั้นก็คือมาเคาะประตูตู้เสื้อผ้าหรือห้องส่วนตัวเลยทีเดียว หรือนี่จะเป็นความพยายามของ ม็อทแมน (Mothman) ที่จะปกป้องคุ้มภัยให้แก่พวกเขา? คู่สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่งได้เปิดประตูหน้าบ้านมาเผชิญหน้ากับร่างสีเทาขนาดใหญ่ ได้ก้าวเท้าออกมาจากบ้านอย่างไม่มีสติอยู่กับตนเองตรงไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ละแวกใกล้เคียง โดยมีดวงตาสีแดงของเจ้าสัตว์ประหลาดคอยบงการ และเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นจากการตกอยู่ในภวังค์ เจ้าสัตว์ประหลาดก็ได้หายตัวไปเสียแล้ว และแผ่นดินก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างแรง อพาร์ทเมนท์หลังที่พวกเขาอาศัยอยู่ที่ชั้นล่างสุดนั้นก็ถล่มลงมา และมีผู้เสียชีวิตในซากตึกนี้ถึง 12 คนซึ่งเป็นจำนวนของผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนี้

สงครามคาบสมุทรไครเมีย
หนึ่งในเรื่องราวอันแปลกประหลาดที่พอจะเชื่อมโยงกับม็อทแมน (Mothman) ก็คือหนึ่งในเรื่องราวเก่าแก่เรื่องนี้ ระหว่างเกิดสงครามคาบสมุทรไครเมีย การสู้รบนองเลือดครั้งดำเนินความรุนแรงนานถึง 6 วัน จนกระทั่งกองทหารของทั้งสองฝ่ายต่างก็พบว่าในวันถัดไปคือวันที่ 15 มีนาคม อันเป็นวันสำคัญตามปฏิทินโรมัน (The Ides of March) ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความเชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์อย่างรุนแรงพอๆกัน ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือผู้นำกองทัพต่างก็เห็นพ้องต้องกันที่จะกำหนดวันสงบศึก อย่างไรก็ตาม มีทหารรัสเซียจำนวน 5 คนได้วางแผนการดักซุ่มโจมตีศัตรูเพื่อให้การรบครั้งนี้เสร็จสิ้นไป โดยพวกเขาได้ออกมาวางแผนการล่วงล้ำเข้าสู่แดนข้าศึก โดยอาศัยแสงไฟจากตะเกียงจากค่ายพักของตนเอง กลางสนามรบที่จู่ๆอากาศก็เกิดอับทึบขึ้นอย่างกะทันหัน ทหารทั้ง 5 ต่างก็เงยหน้ามองขึ้นบนท้องฟ้าและเห็นนกยักษ์กำลังบินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา (หนึ่งในผู้รอดชีวิตได้ให้การว่ามันคืออีกา ซึ่งทำให้เรื่องนี้ถูกจัดเข้าไว้ในหมวดตำนานเกี่ยวกับอีกา ทว่ารายละเอียดอีกมากมายจากพยานคนอื่นๆกลับระบุไปที่ม็อทแมน (Mothman)) และพวกเขาต่างก็จ้องมองมันดุจต้องมนตร์เลยทีเดียว แล้วเมื่อพวกเขาหันกลับมามาไปด้านหลังก็พบว่าพวกตนได้ก้าวล้วงเข้ามาในเขตศัตรูเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่พวกเขาฉุกคิดขึ้นมาได้ถึงสิ่งที่พวกเขาเชื่อในฐานะกองทหารศัตรู พวกเขาก็ถูกทหารรักษาการณ์**censor**กระสุนเข้าใส่อย่างฉับพลัน เสียชีวิตทันทีถึง 3 คน ส่วนรายที่สี่ตกอยู่กลางวงล้อมของเพื่อนร่วมทีมและค่อยๆเสียเลือดจนตาย เหลือเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้จากการใช้ร่างกายของเพื่อนๆเป็นเกราะกำบัง

สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้มีความแปลกพิสดารมาจากคำให้การของทหารรักษาการณ์ฝ่ายรัสเซียที่เห็นเหตุการณ์ ทุกคนต่างก็สบถสาบานว่าทหารทั้ง 5 นายนั้นเป็นทหารฝ่ายชาวเติร์ค (Turkish) ซึ่งแต่งกายด้วยผ้าโพกศีรษะแบบแขกและเสื้อคลุมยาว กำลังส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยเสียงดังที่สุดเท่าที่จะดังได้ และตามติดมาด้วย ฝูงค้าวคาวยักษ์นับพันตัว เวลาเที่ยงคืนชาวเติร์คผู้โกรธเกรี้ยวกระทำแก้แค้นแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น คือภาพที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ของการสู้รบอันนองเลือดครั้งมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ

เยอรมันนี
อีกกรณีหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะสนับสนุนเรื่องราวของม็อทแมน (Mothman) คือเหตุการณ์ที่เขาช่วยชีวิตคนอย่างน้อย 21 คน กรรมกรที่มารายงานตัวตามหน้าที่เมื่อวันที่ 10 กันยายน 1978 ที่เหมืองถ่านหินในเมือง ฟรายบูร์ก (Freiburg) ประเทศเยอรมันนี เพื่อค้นหาทางเข้าสู่อุโมงค์เหมืองที่ถูกปิดด้วยฝีมือของร่างลึกลับสีดำน่าสะพรึงกลัวซึ่งมีปีกขนาดใหญ่อยู่ด้านหลัง กรรมกรหลายคนพยายามจะเข้าไปใกล้ตัวสัตว์ประหลาดและเข้าไปภายในเหมือง ด้วยความคิดแค่ว่ามันอาจจะเป็นเพียงวิญญาณที่มาปรากฏให้เห็นเพียงชั่วครู่ แต่แล้วพวกเขาก็ต้องถอยหนีกันออกมา เมื่อเจ้าสัตว์ประหลาดเกิดส่งเสียงกรีดแหลม "เหมือนเสียงกรีดร้องของมนุษย์ 50 คน" หรือ "เสียงเบรคของรถไฟ" ออกมา หลังจากการรอคอยผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง เหล่ากรรมกรก็เริ่มจัดการปัดกวาดทำความสะอาดบริเวณภายนอกของเหมือง ด้วยความหวังว่าเจ้าสัตว์ประหลาดจะหนีไป เวลาประมาณ 8.00 น. พื้นดินบริเวณนั้นก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจากแรงระเบิดใต้ดิน ม็อทแมน (Mothman) ได้จากไป - คงเหลือไว้ซึ่งเปลวไฟที่พวยพุ่งเป็นลำออกมาจากปากทางเข้าเหมือง เปลวไฟที่อาจจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดในทันที

6 เดือนต่อมา มีเพียงหนึ่งในสามของกรรมกรที่ยังคงทำงานอยู่ในเหมืองแห่งนี้ บางคนก็ได้เปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น ขณะที่อีกหลายคนก็ว่างงานและบางคนก็ไม่มีใครอยากจ้างเข้าทำงาน มีสองคนเท่านั้นที่ทุ่มเทตนเองให้กับการค้นหาความจริงที่เกิดขึ้นและเปิดเผยความจริงในโลกรับรู้ ทั้งคู่เสียชีวิตอย่างยากจนและน่าละอายตั้งแต่ยังหนุ่ม

Caddy Cadborosaurus

Cadborosaurus หรือเป็นที่รู้กันจักในชื่อ แคดดี้ "Caddy" (ไม่ใช่คนแบกถุงกอล์ฟ นะ หึ หึ) เป็นสัตว์ลึกลับจากท้องทะเลอีกชนิดหนึ่งที่มีการกล่าวขานกัน แคดดี้ได้ชื่อมาจากการพบเห็นครั้งแรกที่ Cadboro Bay ในปี ค.ศ.1933 โดยนาย Frederick Kemp และจากนั้นรายงานพบเห็นมันก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงกับว่ามีรายงานการจับตัวมันได้ในแบบเป็นๆ

นักวิทยาศาสตร์สองคนที่มีความสนใจในตัวแคดดี้และมักจะใช้เวลาว่างออกตามหาตัวมันอยู่เสมอคือ Paul LeBlond กับ Ed Bousfield ซึ่งทำการวิจัยเกี่ยวกับแคดดี้มากว่า 20 ปี ทั้งคู่ได้บันทึกรายงานการพบเห็นที่น่าใจต่างๆ เอาไว้ และสอบถามจากชาวประมงหรือชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบนั้นเกี่ยวกับข้อมูล ลักษณะ และจุดที่แคดดี้มักจะไปปรากฏตัวเสมอๆ และเก็บหลักฐานต่างๆ เอาไว้เพื่อที่จะค้นหาความจริงในการมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของมัน โดยการค้นหาตามชายฝั่งหรือจุดที่ได้รับรายงานด้วยอุปกรณ์ถ่ายรูปอิเล็กทรอนิกส์และโซนาร์ต่างๆ เพื่อให้ได้รูปของมัน แต่ก็ยังไม่ได้หลักฐานเพิ่มเติมที่น่าพอใจนัก

ในปี 1969 ข่าวลือของแคดดี้เริ่มโหมสะพัดมากขึ้นจนมีนักวิทยาศาสตร์ นักท่องเที่ยว และนักสำรวจ รวมไปถึงผู้ที่สนใจในเรื่องสัตว์ประหลาดต่างพากันเดินทางมายัง Cadboro Bay เพื่อหวังที่จะได้เห็นตัวของมันสักครั้ง ก็มีทั้งผู้ที่สมหวังและผิดหวังแต่ก็ยังไม่มีหลักฐานปรากฏที่แน่นอนแต่อย่างใด จะมีก็เพียงแต่รูปมัวๆ ระยะไกลหรือไม่ก็รูปใบไม้หรือท่อนไม้ตามน้ำมาเท่านั้น

ที่ทะเลสาบ Victoria บริเวณใกล้กับ Cadboro Bay ก็มีรายงานการพบเห็นสัตว์ลึกลับเช่นกันเริ่มมาจากปี ค.ศ.1950 จากคำบอกเล่าของ James T. Brown นายตำรวจที่พบเห็นมันได้รายงานลักษณะของมัน "มันเหมือนกับงูขนาดใหญ่ ที่มีความยาวราว 35-40 ฟุต ไม่ใช่สัตว์ทะเลหรือสัตว์ชนิดใดที่ผมเคยเห็นมา คล้ายลมา สิงโตทะเลผสมกัน" ไม่ใช่เพียงแต่นายตำรวจผู้นี้เท่านั้นที่เห็นมันเพียง ภรรยาและลูกสาวของเขาก็ได้เห็นเจ้าสัตว์ลึกลับนี้เช่นกันตอนเดินเล่นอยู่ริมทะเลสาบ "ตอนแรกมันปรากฏอยู่ข้างหน้าเราออกไปไม่ไกลเท่าไหร่ แต่เหมือนว่ามันจะรู้ตัวว่าเราเห็นมันและดำลงหายไป และโผล่มาอีกทีไกลออกไปราว 150 หลา ในชั่วเวลาไม่กี่วินาที" ความสามารถในการว่ายน้ำของมันจะต้องไม่ธรรมดาทีเดียว อยู่ในขั้นเร็วถึงเร็วมาก "หัวมันเหมือนงู ผลุบโผล่อยู่ 5-6 ครั้ง ยาวประมาณ 6-7 ฟุตจากหัวถึงลำคอ สีของมันออกดำๆ และมันก็ดำน้ำหายไป" ครอบครัว Brown กล่าวอีกว่าได้เห็นมันอย่างชัดเจนถึง 3-4 ครั้งด้วยกัน และรายงานการพบเห็นที่ชัดเจนอีกครั้งก็มาจากครอบครัว Montgomery จาก Vancouver ซึ่งตอนที่เห็นเจ้าแคดดี้นั้น Jack และภรรยาของเขากำลังตกปลาอยู่ใกล้กับ Vancouver Island เจาสัตว์ลึกลับก็โผล่หัวสี่เหลี่ยมของมันออกมาจากผิวน้ำใกล้กับเรือของพวกเขาและก็ดำลงน้ำหายไป
ต่อมาในปี 1957 ก็มีการพบเห็นจาก Cecelia Smith ผู้เขียนคอลัมน์ในหนังสือ Vancouver Sun Cecelia และ Job สามีของเธอได้เห็นเจ้าสัตว์ลึกลับอยู่ทางด้านใต้จากเรือออกไป "เราเห็นคลื่นขนาดใหญ่สูงขึ้นจากน้ำเหมือนมีอะไรทะยานตัวขึ้นมาอย่างเร็ว เจ้าสิ่งนั้นมันมีขนาดที่ใหญ่มาก น่าจะประมาณ 40 ฟุตได้ตอนที่เราเห็นมันขึ้นมาทีแรก แต่พอเห็นมันอย่างชัดเจน ขนาดของมันไม่น่าจะต่ำกว่า 70 ฟุต หัวของมันแบนและเหมือนกับรูปร่างเพชร ดูแล้วคล้ายกับงู มันตีน้ำกระจายด้วยหางสีดำของมันอย่างกับตกใจอะไรแล้วก็ดำน้ำหายไป เราพยายามมองหามันแต่ก็ไม่เห็นมันอีก"

ในปี 1973 ที่ The Naden Harbour Whaling Station ที่เกาะควีนชาลอต (Queen Charlotte Islands) ก็มีการรายงานการพบเห็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างแปลกและไม่เคยเห็นมันมาก่อน โดยคำบอกเล่าของคนชำแหละเนื้อปลาที่เจอซากของมันในท้องปลาวาฬ มีความยาว 10 ฟุต หัวเหมือนอูฐ ตัวยาวเหมือนงู มีครีบและหาง และได้ถูกถ่ายภาพและส่งตัวอย่างเนื้อที่เหลืออยู่ไปวิเคราะห์ที่ The Fisheries Station ที่ Manaimo แต่เกิดการสูญหายของตัวอย่างเนื้อระหว่างทาง คงเหลือแต่ภาพถ่ายที่ไม่อาจพิสูจน์ได้แน่ชัดว่ามันเป็นซากของตัวอะไรกันแน่ ตำนานของแคดดี้ก็ยังคงลึกลับต่อไป ในเวลาต่อมาภาพถ่ายชุดนี้ก็ได้นำไปตีพิมพ์โดยกัปตัน William Hagelund ในหนังสือ "Whales No More" (ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นชายผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลก ในฐานะที่จับแคดดี้ตัวเป็นๆ ได้) และไม่เพียงเท่านั้น รูปภาพที่เหลือก็ได้นำไปตีพิมพ์อยู่ในหนังสือของ Paul LeBlond เรื่อง "Cadborosaurus : Survivors of the Deep" อีกด้วย แม้จะยังไม่มีการจับตัวแคดดี้และนำมาออกแสดงหรือพิสูจน์ได้อย่างเป็นทางการ แต่กระนั้นรายงานการพบเห็นแคดดี้ก็มีออกมาอย่างสม่ำเสมอและในปี 1998 ก็มีพบจากครอบครัว Mock ซึ่ง Tim และ Laurice Mock เคยพบกับมันมาก่อนหน้านั้นแล้วในปี 1996 ซึ่งครอบครัวนี้พบกันมันถึง 3 ครั้งด้วยกัน
มาว่ากันต่อเรื่องของกัปตัน Hagelund ผู้ซึ่งเป็น 1 ใน 2 คนที่จับตัวแคดดี้เป็นๆ เอาไว้ได้ ตอนที่พาครอบครัวไปล่องเรือเล่นที่รอบๆ เกาะ Gulf Island ของ British Columbia และพอถึงเวลาใกล้ค่ำกัปตัน Hagelund ได้ทอดสมอไว้ใกล้กับ Pirate's Cove บริเวณ Decourcey Island และพอความมืดเริ่มเข้าปกคลุม ก็เริ่มมีเสียงประหลาดที่คล้ายกับเสียงกระดานโต้คลื่นหรืออะไรสักอย่างที่ดูเหมือนกำลังเล่นน้ำอยู่ เขาทนต่อความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวเลยลุกออกไปดูที่มาของเสียงนั้น และก็ได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างแปลกกำลังว่ายน้ำอยู่ที่ผิวน้ำ และจ้องมาที่ตัวเขาขณะที่อยู่บนเรือ เขาตัดสินใจที่จะจับมันทันที และไม่รู้สึกกลัวหรือเป็นอันตรายกับสัตว์ประหลาดตัวนี้เลยแม้แต่น้อย
จากการคาดคะเนของกัปตัน มันมีความยาวราว 16 นิ้วหรือเพียงฟุตกว่า จึงเพียงพอที่กัปตันจะใช้ตาข่ายจับมันเอาไว้ได้ และจับมันใส่ในถังพร้อมกับตักน้ำทะเลใส่ไว้ด้วย จากนั้นเขาจึงพิจารณามันอย่างละเอียดอีกครั้ง ตัวมันหุ้มด้วยหนังที่หนา หัวคล้ายกับม้า จมูกยาวเหมือนปลาโลมา ขนมีสีเหลืองอ่อนๆ ลำตัวเหมือนกับสิงโตทะเล และมีหาง ที่คล้ายกับปลาโลมา เจ้าสัตว์ลึกลับตัวนั้นได้ส่งเสียงดังอยู่ตลอดเวลาหลังจากที่โดนขัง กัปตันได้ตัดสินใจที่จะส่งมันไปยัง The Fisheries Station เพื่อวิเคราะห์ว่ามันเป็นสัตว์ชนิดหรือประเภทไหน...

แต่กัปตันคิดว่ามันอาจจะไม่รอดถ้าอยู่ในที่ที่มีอากาศจำกัดในการหายใจ เช่นในถังที่เขาจับมันไว้ และได้นำมันออกไปยังทะเลอย่างไม่เต็มใจนัก ก็เป็นที่น่าเสียดายสำหรับโอกาสที่จะได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของมันสำหรับคนอื่นๆ ส่วนอีกคนที่มีรายงานว่าจับแคดดี้ได้นั้นคือ Phyllis Harsh ผู้อาศัยอยู่ที่เกาะ John's Island ในปี 1991 ก็ได้ปล่อยลูกของแคดดี้กลับสู่ทะเลหลังจากที่พิจารณามันจนพอใจแล้ว ในรายงานไม่ได้บอกว่าเขาจับมันมาจากไหนและอย่างไร เพียงแต่บอกว่าได้ตัวมาจากชายฝั่งทะเลขณะที่มันติดสาหร่ายอยู่ มีเพียงภาพถ่ายของมันในแต่ละอิริยาบถเท่านั้น นอกจากนั้น Phyllis Harsh ยังเคยพบโครงกระดูกของสัตว์ที่มีลักษณะเหมือนไดโนเสาร์ที่รังของนกอินทรีย์อีกด้วย จากคำบอกเล่าของผู้ที่เคยเห็นแคดดี้ที่โตเต็มวัยนั้นกล่าวว่ามันมีลักษณะยาวประมาณ 100 ฟุต และจากการสังเกตจุดพบเห็นแคดดี้นั้นดูเหมือนมันจะอาศัยอยู่หรือเดินทางไปมาระหว่าง Vancouver Island และ Mainland

ก็เป็นสัตว์ลึกลับในตระกูลไดโนเสาร์เช่นเดียวกับเนสซี่และเพื่อนร่วมสายพันธุ์ของมัน จากการพบเห็นแคดดี้และสัตว์ลึกลับที่ทะเล Victoria อาจจะกล่าวได้ว่ามันเป็นสัตว์ตัวเดียวหรือฝูงเดียวกันที่อาศัยอยู่ในบริเวณ Cadboro Bay ที่เดินทางไปมาระหว่างสถานที่ทั้งสอง ทำไมสัตว์ลึกลับที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกันนี้ถึงมีรายงานการพบเห็นอยู่ทั่วโลก ?? เป็นไปได้หรือว่ามันเหลือรอดมาจากยุคน้ำแข็งหรือเมื่อหลายล้านปีก่อนได้เยอะขนาดนี้ หรือว่าจะเป็นเพียงฝูงเดียวที่เหลือรอดอยู่ แล้วเดินทางไปยังทะเลสาบและทะเลทั่วโลกด้วยหนทางที่มันเสาะหาเจอ อาจเป็นอุโมงค์ใต้น้ำหรืออะไรสักอย่างที่เชื่อมต่อกันได้ หรือบางทีอาจเป็นเพียงปรากฏการณ์ซ้อนกันของมิติเวลาที่ซ้อนทับกันพอท ีและฉายภาพที่เกิดขึ้นมาเมื่อหลายล้านปีก่อนมาแล้วให้เราเห็นอีกครั้งโดยบังเอิญ ก็ยังลึกลับต่อไปกับตำนานสัตว์ประหลาด จนกระทั่งวันหนึ่งข้างหน้าในอนาคตความจริงก็อาจจะปรากฏขึ้นมาไขปริศนานี้ก็เป็นได้ "myth is always myth"

10 สุดยอด การผจญภัยแดนหฤโหด แห่งอเมริกาใต้

การจัดอันดับสถานที่อันตรายที่สุดในอเมริกาใต้ ความหฤโหด และชุกชุมของเหล่าสัตว์จะขย้ำผู้ที่มันไม่ไว้วางใจให้ละเอียดในพริบตา ใครว่าจระเข้เคแมนคือเพชฌฆาตในลุ่มแม่น้ำ หรืองูอนาคอนด้าแสนร้ายกาจ มากกว่านี้ก็ยังมี นักฆ่าที่โหดที่สุดกับความฉลาดล้ำเลิศ สัตว์ทุกตัวทั่วทั้งอเมริกาใต้เป็นที่ 1 กว่าที่ใด ๆในโลก

อันดับ 10 : หมู่เกาะฟอล์กแลนด์ (FALKLANDS)
ที่หมู่เกาะฟอล์กแลนด์ ทะเลโหดคือกฎเหล็ก แต่ดูเหมือนสัตว์เจ้าประจำที่อาศัยอยู่ที่นี่จะไม่รู้สึกสะทกสะท้าน ท่ามกลางเกลียวคลื่นยังมีสิ่งมีชีวิตโลดแล่นอยู่ในนั้น นกอัลบาทรอสบินร่อนลม นกเพนกวินร็อค ฮ็อปเปอร์ (ROCK-HOPPER) กับความทรหดเย็นสุดขั้ว แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้กับเพนกวินเจ็นตู (GENTOO PENGUIN) ที่พยายามหนีการตามล่าของปลาวาฬออร์ก้า (ORCAS) เพชฌฆาตใต้น้ำซึ่งน้อยครั้งนักที่เหยื่อจะรอดเงื้อมมือ ราชาแห่งหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ไปได้
อันดับ 9 : ป่าแพนทานัล (PANTANAL)
  เข้าไปในป่าลึกกับการยากคาดเดาของธรรมชาติ ที่ป่าแพนทานัล คุณจะได้พบกับสัตว์หายาก และไม่เคยเห็นที่ไหน แน่นอนคุณต้องรู้จัก..เจ้าจระเข้เคแมนตัวร้าย หนูยักษ์คาปีบาร่า และงูอนาคอนด้า กับช่วงฤดูน้ำหลาก และฤดูแล้งที่น้ำขึ้น และลงอย่างน่าใจหาย แต่ไม่ยากสำหรับเพชฌฆาตแห่งนี้ทุกตัวรวมทั้งเสือจากัวร์ที่ ไม่ต้องคิดเผื่อมันว่าจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร
อันดับ 8 : ทะเลทรายอะตาคาม่า (DESERT OF THE ATACAMA)ข้ามเข้าสู่ความร้อนกันบ้าง ที่นี่ให้ทั้งความประหลาด และมหัศจรรย์อย่างไม่น่าเชื่อ จะอยู่ได้ยังไงเมื่อความร้อนพุ่งสูงถึง 50 องศา แล้วสิ่งมีชีวิตในทะเลทรายอะตาคาม่าไม่ร้อนบ้างหรือ คงไม่เพราะเพนกวินฮัมโบลด์ (HUMBOLDT PENGUIN) ยังหนีความเย็นมาอยู่ในที่ร้อน แล้วสัตว์ที่ทนแดดทนฝนอย่างอูฐกัวนาโคจะขอยอมแพ้ไปได้อย่างไร ท่ามกลางแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ เพนกวินฮัมโบลด์ก็มีเพื่อนบ้านที่ฉลาดเป็นกรด ปลาแอนโชวี่ โลมาดัสกี้ สิงโตทะเล ต่างงัดไม้เด็ดมาเทียบว่าตัวใดจะได้อาหารมากกว่ากัน
อันดับ 7 : แม่น้ำอะเมซอน (AMAZON RIVER) เมื่อความยิ่งใหญ่ ความดุร้าย ความอันตรายรวมไว้ด้วยกัน แม่น้ำอะเมซอนคือแหล่งผจญภัยที่ตื่นเต้น และน่ากลัวได้เป็นอย่างดี ความยาวของสายน้ำกับฝนตกชุกตลอดทั้งปี ไม่มีที่ใดอุดมสมบูรณ์ที่สุดเท่า สัตว์น้ำพันกว่าชนิดกับความดุร้ายสไตล์สัตว์ป่าของนากยักษ์ หรือโลโบ้ เดล ริโอ, ปิรันย่าจอมโฉด, จระเข้เคแมนเจ้ายักษ์, แมงมุมทารันตูล่า, มดคันไฟ ไม่มีที่ใดมากเท่าที่นี่ แล้วพวกมันก็รู้ตัวด้วยว่า อย่างเดียวที่จะให้มันรอดก็ คือหาเหยื่อที่พวกมันพอจะจัดการได้
อันดับ 6 : ที่ราบสูงอัลติปลาโน่ (ALTIPLANO)เหนือขึ้นไปอากาศยิ่งลดต่ำลง สำหรับสัตว์ป่าเรื่องอาหารไม่ต้องห่วง แต่เรื่องรักษาชีวิตสำคัญกว่า เรามาไกลถึงที่ราบสูง...สูงเสียดฟ้า อากาศเย็นซะจนวิสคาช่าต้องปรับตัวอย่างมาก ยิ่งดึกก็ยิ่งหนาว ถ้านกฟลามิงโก้ไม่ดูแลลูกนกให้ดีคงไม่แคล้วต้องแข็งตาย เพราะที่นี่สภาพอากาศกำหนดทุกสิ่ง
อันดับ 5 : ป่าบนภูเขา (CLOUD FOREST)ภูเขาสูงใหญ่ปกคลุมด้วยเมฆหมอก ข้างในมันน่าจะมีอะไรซุกซ่อนอยู่ สูงสุดขอบฟ้าที่นี่คือบ้านของสัตว์ป่า หมีแว่น (SPECTACLED BEAR) เดินลอยชาย พ่วงด้วยนกฮัมมิ่งเบิร์ดที่ตัวเล็ก แต่ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ทั่วป่าพิศวงบางทีคุณอาจจะเคยเห็นทุกอย่างเป็นครั้งแรก อย่างนกดูดเลือด แวมไพร์ ฟิ้นช์, นกกาน้ำ, อีกัวน่าทะเล, นกบู๊บบี้ตีนฟ้า ที่คุณจะเห็นได้ในป่าลึกๆ และมีความเป็นธรรมชาติอย่างที่ป่าในอเมริกาใต้มีเท่านั้น
อันดับ 4 : พาทาโกเนีย (PATAGONIA)ที่ซึ่งภูมิอากาศเลวร้ายหนาวเย็นสุดขั้ว แต่สัตว์ที่จะกล่าวต่อไปนี้อยู่ได้ มองฝ่าละอองหิมะ จิ้งจอกเทา (GREY FOX) เดินมาแต่ไกล มันต้องทนความหนาวเหน็บเพื่ออาหารอันโอชะ ส่วนเพนกวินแจ็คแอสกับสิงโตทะเลใช้พื้นที่แห่งนี้ เป็นสมรภูมิขับเคี่ยวระหว่างกัน พวกมันต้องใช้ความเหนือกว่าเพื่อเอาชนะคู่แข่งของตนเอง
อันดับ 3 : ทุ่งหญ้าเซอราโด้ (CERRADO)ทุ่งหญ้าขนาดใหญ่สุดลิบตามองไปทางไหนก็เห็นหมู่สัตว์ เชื่อมั้ยชีวิตหลากหลายมักอาศัยอยู่ที่นี่ ทุ่งหญ้าเซอราโด้คือที่เหมาะที่เราจะพบกับเจ้าผู้ครองพื้นที่ หมาป่าเมนด์ (MANED WOLF) ซึ่งตอนนี้มันกำลังได้เหยื่อ อีกชีวิตของสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างปลวกที่อยู่ของมันดีๆ แต่เจ้าตัวกินมดนี่สิชอบมายุ่งยากอยู่เรื่อย
อันดับ 2 : เทือกเขาแอนดีส (ANDES)แอนดีสคือเทือกเขาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แน่นอนเทือกเขาที่ยิ่งใหญ่ ย่อมมีอดีตกาล ร่องรอยอารยธรรมของชาวอินคาโบราณที่สร้างเมือง มาชู ปิกชู และสัตว์โบราณอย่าง ลามะและอัลพาค่า (Llamas & Alpacas) ผู้คนที่นี่ยังสำนึกบุญคุณ และดำรงไว้ซึ่งจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง ไม่เฉพาะกับสัตว์ยุคโบราณอย่างเดียว แร้งคอนดอร์ นกยักษ์บินร่อนทั่วท้องฟ้า ปีกของมันกว้างเป็นพิเศษพร้อมกวาดตาดูทั่วอาณาจักรว่าพอ จะมีอะไรที่จะเป็นเหยื่อได้บ้าง

อันดับ 1 : ป่าอะเมซอน (AMAZON)สุดยอดแห่งป่า สุดยอดแห่งสัตว์หลากหลาย สุดยอดของโลก นี่คือสถานที่ที่ป่าคือธรรมชาติแท้จริง พืช 3,000 ชนิด นก 530 ชนิด ลิง 11 ชนิดและสัตว์กว่าร้อยๆ อย่างที่ไม่ต้องคิดนับ มีมากมายเหลือเกินพอๆ กับป่าอะเมซอนแห่งนี้ ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นอัดแน่น เสียงนกร้อง สัตว์เดินเพ่นพ่าน แต่ไม่ใช่ที่นี่จะปลอดภัย เพราะทุกชีวิตในป่าอะเมซอนอยู่ในเกมที่ชื่อว่า เกมเอาตัวรอด

The Legend of the Robots: ย้อนตำนานหุ่นยนต์

บทนำ

เคยมีคำกล่าวทำนองที่ว่า คุณค่าของมนุษย์อยู่ที่ผลงานที่มี เพราะฉะนั้น"งาน"จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์จะขาดไปเสียมิได้ แต่ก็นั่นล่ะครับ มนุษย์เราใช่ว่าจะสามารถทำงานทุกอย่างทุกแขนงได้สบายบรื๋อเสียเมื่อไหร่กันเล่า

งานบางงานเป็นงานที่หนักเกินพละกำลัง บางงานเป็นงานที่ซ้าๆน่าเบื่อ และมีอีกหลายงานที่ต้องอาศัยความประณีตแม่นยำสูง แถมบางงานยังมีอันตรายต้องเสี่ยงชีวิตซะอีกแน่ะ ใครล่ะอยากจะทำจริงไหมครับ? แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถึงไม่อยากยังไงผลผลิตแห่งงานเหล่านั้นก็ยังจำเป็นสำหรับวิถีชีวิตของมนุษย์อยู่ ดังนั้น มนุษย์ผู้ชอบเอาเปรียบบางกลุ่มจึงใช้สถานะที่เหนือกว่าหาทาสมาทำงานเหล่านั้นทดแทน
ทาสก็เป็นมนุษย์เหมือนนายทาส มีข้อจำกัดเฉกเช่นผู้เป็นนายไม่ผิดเพี้ยน(ต่างแค่อิดอออดหรือปฏิเสธไม่ได้แค่นั้นมั้งครับ ^^! ) มีเลือดมีเนื้อ มีชีวิตเหมือนผู้เป็นนาย ครั้นจะให้ทาสมาเหนื่อยเปล่าตายเปล่ามันงผิดวิสัย ดังนั้นมนุษย์ที่ฉลาดและช่างฝันจึงพยายามเสมอมาที่จะหา "ทาส" ชนิดอื่นเข้ามาทำงานที่วิสัยปกติของมนุษย์ไม่อยากทำ

สิ่งที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่ทุกวันนี้ก็น่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์อันประกอบด้วยเครื่องยนตร์กลไก มีการเคลื่อนไหวเลียนแบบสิ่งมีชีวิต บางครั้งก็เลียนแบบมนุษย์ไปนั่นเลย บางตัวมีรูปร่างพิกลทั้งเป็นแท่ง เป็นดุ้น(ว๊าย.. น่าเกลียด) เป็นก้อน เป็นเหลี่ยม ห้อยด้วยกลไกไฮดรอลิคและสายไฟระโยงระยาง บางตัวมีวงจรคอมพิวเตอร์คอยกำกับ พวกมันทำงานอย่างซื่อสัตย์ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เครื่องยนตร์กลไกทั้งหลายทั้งปวงนี้ เราเรียกรวมความกันเพื่อให้เข้าใจง่ายๆว่า หุ่นยนต์(Robots)

butt.gif
Automata หุ่นกลยุคโบราณ

ก่อนจะมาเป็นหุ่นยนต์ยุค Mechanics นั้น มนุษย์ใฝ่ฝันที่จะมีผู้รับใช้มนุษย์มานานแสนนานแล้ว คนโบราณหลายชาติบันทึกเรื่องราวชวนฝันทำนองนี้เอาไว้เยอะครับ มีรากศัพท์ของคำว่า Automata หรือหุ่นกลใช้กันมาแสนนานแล้ว และหุ่นกลสมัยโบราณนั้น หาได้เคลื่อนไหวด้วยจักรกลเช่นปัจจุบันไม่ บางตัวอาศัยลาน แรงลม แรงดันน้ำ หรือแม้กระทั่งเวทย์มนตร์คาถา เรื่องราวเหล่านี้ก่อให้เกิดตำนานของหุ่นกลสนุกๆมากมาย ก่อนจะแปลงสภาพกลายเป็นตำนานของ Getter Robo หรือ Gundum อย่างทุกวันนี้
ถ้าไม่พูดถึงไบเบิ้ลบ้างก็คงไม่ใช่นายโซนิค เค้าถือกันว่าอาดัม-มนุษย์คนแรกของโลกนั้น เป็น"หุ่นกล"ตัวแรกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นจากฝุ่นผงแห่งพสุธา ตรงนี้อย่าเพิ่งสับสนแล้วทักท้วงผมนะครับว่าอาดัมเป็นสิ่งมีชีวิตไม่ใช่เรอะ จะเป็นหุ่นยงหุ่นยนต์ไปได้ยังไง แหมนะ.. ท่านเนี่ย ผมยังไม่ได้พูดคำว่าหุ่นยนต์ซักคำ ย้อนไปต้นพารากราฟนี้สิครับ เห็นมะ ผมบอกออกชัดเจนว่าเป็น "หุ่นกล" ในสมัยก่อนนั้นหลักแมคานิคส์ยังไม่เป็นรู้จักกันนี่ครับ มนุษย์ไม่แยกแยะหรอกว่า อะไรคือผลพวงของผลผลิตทางชีววิทยาและอะไรเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวิศวกรรมศาสตร์ อะไรที่สร้างขึ้นเลียนแบบมนุษย์เค้าเรียก "หุ่นกล" ทั้งนั้นแหละ แต่ผมว่าคนโบราณเค้าวิสัยทัศน์กว้างนะฮะ เพราะด้วยเทคโนโลยีชีวภาพในปัจจุบันนั้น เราแทบจะแยกสิ่งประดิษฐ์กับสิ่งมีชีวิตไม่ออก ไม่แน่ อนาคตเราอาจมีโลหะที่มีชีวิตใช้กันเหมือนโอริชอล์คของชาวแอตแลนติสก็ได้ ใครจะไปรู้

ถัดจากไบเบิลก็คงจะเป็นกรีกครับ ตามตำนานกรีกกล่าวถึงเทพโพรเมเธอุสผู้สร้างมนุษย์หญิงชายคู่แรกจากผืนดิน และให้ชีวิตกับมนุษย์ด้วยไฟแห่งชีวิตที่ขโมยลงมาจากสรวงสวรรค์ พูดถึงนิยายกรีกแล้วมีอีกหลายเรื่องมากครับที่เกี่ยวข้องกับหุ่นกล เช่นเจ้า Talus ในเรื่องเจสันกับขนแกะทองคำ คณะของวีรบุรุษเจสันต้องเผชิญกับยักษ์กลที่ทำจากทองเหลืองชื่อทาลัส ยักษ์กลตัวนี้ผิวหนังแข็งแกร่งอาวุธแทบไม่ระคายครับ แถมยังไม่รู้จักความเจ็บปวดอีกแน่ะ มันใช้พละกำลังอันมหาศาลเข้าบดขยี้คู่ปรปักษ์ จนเจสันและพวกต้องใช้วิธีเจาะเข้าไปบริเวณข้อเท้า ทำให้น้ำทองแดงร้อนๆที่เปรียบเหมือนเลือดของทาลัสไหลออกมาจนหมด และมันก็จะตาย
หุ่นกลคลาสสิคอีกตัวนึงที่เราคุ้นเคยกันดีก็คือโกเล็ม (The Golem) หน้าตาท่าทางก็อย่างที่เห็นในภาพด้านซ้ายมือนั่นแหละครับ โกเล็มเป็นหุ่นกลสัญชาติยิวที่สร้างขึ้นมาจากดินแทนทองเหลือง โกเล็มมีรูปร่างเหมือนมนุษย์แต่บึกบึนกว่า สูงใหญ่กว่า ทำหน้าที่ปกปักพิทักษ์ชาวยิวมาแต่ครั้งบรรพกาล วิธีสร้างโกเล็มนั้นต้องปั้นหุ่นดินขึ้นมาก่อนครับ จากนั้นแร็บไบในศาสนายิวจะร่ายคาถาศักดิ์สิทธิ์ และเขียนพระนามของพระเจ้าใส่กระดาษสอดเข้าไปในปากของโกเล็ม เท่านี้โกเล็มของเราก็เดินได้ปร๋อแล้ว

ตำนานของโกเล็มที่จัดว่าขึ้นหิ้งคลาสสิคคือผลงานของนักเขียนชื่อ กุสตาฟ มายริก ในปี พ.ศ. 2548 ตามท้องเรื่องเจ้าโกเล็มเกิดเลียนแบบช้างคือตกมันขึ้นมา เที่ยวอาละวาดไล่ทำลายบ้านเรือนและผู้คน หนทางเดียวที่จะหยุดโกเล็มได้คือ "เอากระดาษออกจากปากมัน..." แหม พูดง่ายทำยากนะครับ ก่อนจะดึงแผ่นกระดาษออกมาได้มีหวังโดนเจ้าโกเล็มกระทืบม้ามทะเล็ดเอาปะไร
Robotics History: ตุ๊กตากล หุ่นยนต์ยุคโบราณ
หุ่นกลในตำนานเป็นจินตนาการเกี่ยวกับความฝันของมนุษย์ ที่จะสร้างทาสผู้จงรักขึ้นมารับใช้และปกป้อง ถ้าเราจะนับเรื่องราวเหล่านั้นเป็นแนวคิดที่จุดประกายของการสร้างหุ่นยนต์ล่ะก็ ตุ๊กตากลที่ขับเคลื่อนด้วยขดลวดและพลังน้ำอย่างง่ายๆในยุคถัดมานี่แหละครับ คือก้าวแรกของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ในปัจจุบัน หลักฐานที่เก่าที่สุดที่พบคือตุ๊กตากลของกษัตริย์เมมนอนแห่งเอธิโอเปีย ที่สามารถเปล่งเสียงร้องเพลงได้ยเมื่อกระทบแสงอาทิตย์ในยามอุษา ตุ๊กตาดังกล่าวถูกสรางขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อนคริสตกาลครับ ความลับที่ทำให้มันเปล่งเสียงได้ก็คือ ขดลวดที่อยู่ตัวของมันจะคลายตัวออกมากระทบกับฐานใต้ตัวที่เรียงไว้ด้วยขดลวดอีกชุด ลักษณะเหมือนดีดเครื่องสายยังไงยังงั้นแหละครับ

เป็นอันว่าแนวคิดของการใช้ขดลวดหรือสปริงนั้น มีกันมาแต่ครั้งโบราณแล้วแหละครับ ทอดระยะต่อมาราว 6-700 ปี ปราชญ์ผู้หนึ่งแห่งอารยธรรมไบแซนติอุมก็ได้ประดิษฐ์ตุ๊กตากลโดยใช้แรงดันของน้ำเป็นตัวขับ มีลักษณะเหมือนนกขนาดใหญ่และมีน้ำไหลออกมาจากปากของนกตลอดเวลา

ส่วนช่วงก่อนคริสตกาลประมาณ 500 ปีแถวเอเชียบ้านเรา นั้น ก็ได้มีการประดิษฐ์ตุ๊กตากลขึ้นเช่นกันครับ มีทั้งนก ทั้งโค สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยข้อต่อและพลังกล โคยนต์ของท่านขงเบ้งแห่งสามก๊กถือเป็นหนึ่งในตระกูลตุ๊กตากลพวกนี้ด้วยครับ

ตุ๊กตาที่โดดเด่นที่สุดในยุคต้นคริสตวรรษ ได้แก่ตุ๊กตากลแห่งเอล็กซานเดรียครับ อาศัยหลักของเฟืองกับเทคนิคของกาลักน้ำ ตุ๊กตากลที่ดังๆก็เช่น ตุ๊กตาหมู่นกร้องเพลง ตุ๊กตาคนเทไวน์ลงอ่าง เทคนิคที่ใช้ในสมัยนั้นแม้จะเป็นเทคนิคง่ายๆ แต่อย่าลืมนะครับว่าเวลาขณะนั้นคือ พ.ศ. 600 กว่าๆ ในสายตาของเราอาจเป็นเทคนิคง่ายๆที่ใครๆก็รู้ แต่สำหรับชาวอเล็กซานเดรียแล้ว มันคือนวัตกรรมอันยิ่งใหญ่แห่งยุคเชียวนะครับ ช่วงปลายๆอารยธรรมอเล็กซานเดรียนั้น มีการประยุกต์เอาแรงไอน้ำเข้ามาช่วยขับเคลื่อนตุ๊กตาก็ยิ่งน่าทึ่งใหญ่ เรียกได้ว่าตุ๊กตากลพวกนี้เป็นเครื่องจักรไอน้ำรุ่นแรกๆของโลกเลยทีเดียว
แต่หลักฐานที่ยังเหลือเป็นชิ้นเป็นอันมากที่สุด คือตุ๊กตากลของทางยุโรปครับ เพราะปัจจุบันยังสามารถหาชมจากพิพิธภัณฑ์ได้หลายสิบตัวอยู่ ตัวที่ประดิษฐ์ขึ้นในช่วงแรกๆคือตุ๊กตากลของ เกียเนลโล เดล ลาทอเร ครับ เป็นตุ๊กตาองค์หญิงถือพิณ เมื่อเปิดกลไก องค์หญิงของเราก็จะเดินวนเป็นวงกลม แถมส่ายหัวไปมาและดีดพิณให้เราฟังได้ด้วยแน่ะ... ปัจจุบันตุ๊กตากลตัวนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ตุ๊กตากลของยุโรปนั้นมีมากมายจาระไนไม่หมดหรอกครับ

จุดที่น่าสังเกตคือในช่วงรอยต่อของคริสศตวรรษที่ 18-19 ในยุคที่จักรกลอุตสาหกรรมเฟื่องฟู ตุ๊กตากลที่อาศัยฟันเฟืองขนาดเล็กก็เลยเฟื่องฟูตามไปด้วย ตุ๊กตาเป็ดของ จาร์ค เดอ โวคูซอง นับเป็นตุ๊กตากลอีกตัวหนึ่งที่น่าทึ่ง เนื่องมาจากเป็ดที่ทำจากโลหะชุบทองแดงตัวนี้สามารถว่ายน้ำ ส่งเสียงร้อง รวมทั้งกินอาหารเหมือนเป็ดมีชีวิตจริงๆ ตัวตุ๊กตาเป็นประกอบด้วยฟันเฟืองแบบประณีตร่วม 400 ชิ้น มีขนาดใหญ่โตและใช้เวลาสร้างกว่า 3 ปีครึ่ง เจ้าเป็ดตัวนี้ลีลาคงเด็ดดวงเอาการครับ เพราะเป็นที่กล่าวถึงมาจนทุกวันนี้ ข้อเสียเพียงประการเดียวของเจ้าเป็ดตัวดังกล่าวคือต้องพักการแสดงทุกๆรอบ เพื่อเอาอาหารและน้ำที่มันขย้อนเข้าไปออกจากท้องของมันเสียก่อน ปัจจุบันเป็ดตัวนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมในกรุงปารีสครับ

ตัวอื่นๆที่น่าสนใจก็มีกลุ่มตุ๊กตานักดนตรีของ ปิแอร์ จาร์เก็ต-ดรอส ซึ่งประกอบไปด้วยตุ๊กตากลเด็กผู้ชายเขียนหนังสือ ตุ๊กตากลเด็กผู้ชายวาดลายเส้น และตุ๊กตาเด็กผู้หญิงเล่นเปียโนอย่างละหนึ่งตัว ซึ่งตุ๊กตากลทั้งหมดอยู่ในท่านั่ง ลักษณะของการทำงานจะเริ่มสั่งงานจากกลไกที่ฐานของตุ๊กตา เชื่อไหมครับว่า เจ้าตุ๊กตาทั้งสามนี้สามารถทำงานที่ตั้งเอาไว้ล่วงหน้าได้จริงๆ คือลายเส้นและตัวหนังสือสามารถเขียนได้ตามที่กำหนดไว้ ส่วนแม่สาวนักเปียโนก็สามารถพรมนิ้วลงบนคีย์ได้เป็นเพลงอย่างไม่ผิดเพี้ยน สามารถส่ายหน้าไปมา กรอกดวงตาขึ้นลง บริเวณทรวงอกดูอวบอิ่ม.. เอ๊ย.. ไม่ใช่ บริเวณทรวงอกยุบเข้ายุบออกคล้ายกำลังหายใจ แถมเมื่อแสดงจบยังสามารถโค้งคำนับให้กับผู้ชมได้อีกด้วย

...ไม่เรียกตุ๊กตากลมหัศจรรย์ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรล่ะครับงานนี้ อ้อ... ตุ๊กตาทั้งสามปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ศิลป์ เมืองนูชาเทล ประเทศฝรั่งเศส สนใจก็ตามไปดูกันได้ครับ ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว
ในช่วงเดียวกันนี้ ประเทศญี่ปุ่นก็กำลังรุ่งเรืองทางด้านจักรกลเช่นเดียวกันครับ แม้ว่าศตวรรษที่ 18-19 ญี่ปุ่นจะปิดประเทศไม่สุงสิงกะใคร แต่เทคโนโลยีของพี่แกก็ไม่น้อยหน้าฝรั่งชาติไหนเหมือนกัน ประมาณ พ.ศ. 2273-2339 มีตำราการทำตุ๊กตากลเขียนโดย ฮันโซ โฮโซกาว่า เป็นตุ๊กตาเด็กรับใช้ถือถ้วยน้ำชา ตามหลักฐานที่มีกล่าวว่า ตุ๊กตาพวกนี้ทำด้วยไม้ และกลไกภายในประกอบด้วยซี่ล้อและเอ็นที่ทำจากเอ็นปลาวาฬ การทำงานของตุ๊กตาเหล่านี้คือเดินไปข้างหน้า เมื่อมีผู้วางถ้วยน้ำชาลงบนถาดที่มันถืออยู่ และหยุดเมื่อมีการยกถ้วยน้ำชาออก และหลังจากนั้นมันจะหันหลังกลับไปยังทิศทางที่มันเดินมาเมื่อมีการวางถ้วยน้ำชาลงอีกครั้งหนึ่ง (หมายถึงดื่มน้ำชาเสร็จแล้ววางถ้วยกลับที่เดิมครับ) ตำราการสร้างตุ๊กตาแบบนี้ใช้ชื่อว่า Karakuri Zui ขอรับท่าน...
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วนะครับว่า ช่วงสองศตวรรษก่อนจะถึงรุ่งอรุณแห่งศตวรรษที่ 20 นั้น หุ่นยนต์จะถูกสร้างในลักษณะของตุ๊กตากล โดยแต่ละชาติก็มีสไตล์ในการออกแบบและการสร้างตามแต่ภูมิปัญญาท้องถิ่นของตน ถึงจะเป็นคนละสไตล์แต่สิ่งหนึ่งที่สอดคล้องต้องกันก็คือ ความวิริยะและเวลาในการสร้างครับ การสร้างหุ่นตุ๊กตากลแต่ละตัวกินเวลาการสร้างที่ยาวนาน ต้องใช้ความอุตสาหะทุ่มเทกับมันมากๆ เรียกว่าพยายามทำจนสุดขีดจำกัดที่เทคโนโลยีในสมัยนั้นจะเอื้ออำนวยให้ คิดดูสิครับว่าภายในของตุ๊กตากลออกจะซับซ้อนปานนั้น บรรดากลไกภายในจะต้องได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับลักษณะการเคลื่อนไหวของขดลวด ซี่ล้อ สปริง สายพาน สลักโลหะ และชิ้นส่วนเล็กชิ้นส่วนน้อยนับเป็นร้อยๆชิ้น ตุ๊กตากลตัวนั้นถึงจะสามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจปรารถนาของผู้สร้าง คิดแล้วเหนื่อยหยอกอยู่เสียเมื่อไหร่กัน...

บรรดานักประดิษฐ์ตุ๊กตากลเหล่านี้ มีความคิดสรางสรรค์ มีความอุตสาหพยายามเป็นที่น่ายกย่องสำหรับคนรุ่นหลังอย่างพวกเรานะครับ เนื่องจากพวกเขาต้องทุ่มเททั้งความคิดสร้างสรรค์ ความพยายามบวกเวลานับแรมปีกว่าจะได้ตุ๊กตากลขึ้นมาสักตัว จึงนับได้ว่าตุ๊กตากลเหล่านี้เป็นทั้งนวัตกรรมแห่งความทุ่มเท และเป็นผลงานทางศิลปที่น่าโค้งคารวะให้โดยแท้

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตำนานแฟรงค์เกนไสตน์

สวัสดีตอนต้นเดือนครับ พฤศจิกายนแล้วน๊า อีกไม่กี่อึดใจก็ได้เวลาสิ้นศตวรรษแล้ว ก้าวสู่สหัสวรรษใหม่ที่หลายต่อหลายคนตั้งความหวังว่าอะไรๆมันคงจะดีขึ้น นายโซนิคก็รอเหมือนกันแหละครับ รอว่าเมื่อไหร่จะได้อยู่ดีกินดีกับเขาเสียที เสียดาย รอมาตั้งหลายปีแล้วยังรอเก้ออยู่อย่างนั้น ถ้าใครมีเหลือกินเหลือใช้และคิดจะสงเคราะห์หนุ่มน้อยตาแฉะๆคนนี้ล่ะก็ ยินดีเสมอครับ...

สำหรับเรื่องราวในคราวนี้ เราจะมาว่ากันถึงเรื่องเก่าๆที่น่าสนใจซักเรื่องนึง ซึ่งว่าด้วยความพยายามของมนุษย์ที่คิดจะเอาชนะธรรมชาติ ดูเผินๆก็เหมือนเรื่องน่ากลัวแหละครับ แต่ลึกๆลงไปแล้วผมว่าน่าเศร้าซะมากกว่า เพราะถือเป็นกรรมอย่างมากที่มนุษย์คนนึงก่อเอาไว้ให้เกิดขึ้นกับ "สิ่ง" หนึ่งครับ

เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินชื่อนี้นะครับ "แฟรงเกนไสตน์" เจ้าอมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากชิ้นส่วนของคนตาย ถือเป็นเรื่องสยองขวัญอมตะพอๆกับท่านเคาท์แดร็กคิวล่าของ บราม สโตเกอร์ทีเดียวครับ เจ้าของบทประพันธ์เรื่องนี้เป็นสตรีชื่อ แมรี่ เชลลี่ (Mary Shelley) หลายคนชอบเรียกเธอลับหลังว่า มารดาแห่งแฟรงเกนไสตน์ ซึ่งก็ดูเหมือนเชลลี่จะชอบฉายานี้อยู่ไม่ใช่น้อย แฟรงเกนสไตน์ดังเป็นพลุแตกเมื่อฮอลลีวูดนำมาสร้างเป็นหนัง ซึ่งเรื่องราวที่ผมจะเล่าในวันนี้ ก็จะเป็นการผสมผสานเนื้อเรื่องในหนังและตัวบทประพันธ์เข้าด้วยกัน มาลองฟังดูกันไหมครับ?

วิคเตอร์ แฟรงเกนไสตน์ (Victor Frankenstein) เป็นนามของชายผู้หนึ่ง เขาเกิดที่กรุงเจนีวา เมื่อประมาณปี 1790 เป็นบุตรของนักการเมืองและคหบดีผู้มั่งคั่ง เขามีเพื่อสนิทที่เป็นนักศึกษาอยู่คนนึงชื่อ เฮนรี่ เคลอวัล เจ้าหมอนี่แหละครับที่ชักนำให้วิคเตอร์สนใจเรื่องพลังธรรมชาติ โดยเฉพาะสาขาที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าและแหล่งกำเนิดชีวิต เมื่อเขาไปเรียนที่มหาวิทยาลัย Ingoildtadt University ก็ได้ทำการศึกษาเรื่องนี้ต่อ โดยมุ่งหวังจะเป็นผู้บุกเบิกแนวทางใหม่ในการแสวงหาพลังใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก เพื่อนำไปสู่กุญแจไขความลี้ลับของการกำเนิดชีวิต เข้ามุ่งมั่นที่จะใส่ชีวิตใหม่ให้กับคนที่ตายไปแล้ว โดยใช้ร่างของผู้ตายมาสร้างมนุษย์พิเศษขึ้นมาใหม่

เมื่อการค้นคว้าดำเนินมาถึงที่สุด แฟรงเกนไสตน์ก็ตัดสินใจท้าทายอำนาจแห่งพระเจ้า เขาพยายามจะทำให้คนตายกลับฟื้นคืนชีพ ทว่า เจ้าคนตายนี้กลับไม่ใช่ศพใดศพหนึ่ง กลับเป็นผลผลิตที่เกิดจากการนำเอาชิ้นส่วนจากหลายศพ มาเย็บเข้าไว้รวมกันด้วยความตั้งใจที่จะทำให้มันกลายเป็นยอดมนุษย์ แข็งแรงและสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปนัก จะด้วยวิธีใดก็ตามแต่ล่ะครับ ในที่สุดแฟรงเกนไสตน์ก็ได้ทำให้เจ้าอมนุษย์ตนนั้นฟื้นคืนชีพขึ้นมาจนได้

พอศพนั้นลุกขึ้นมาได้เท่านั้นแหละครับ แฟรงเกนไสตน์ถึงกับร้องจ๊าก เผ่นออกไปนอกห้องอย่างทันทีทันใด กว่าจะรวบรวมขวัญอันกระเจิดกระเจิงและอาศัยความกล้า กลับเข้ามาสำรวจในห้องทดลอง ปรากฏว่าเจ้าอสุรกายนั้นเผ่นหายไปที่ไหนเสียแล้วก็ไม่ทราบ ตอนแรกๆแฟรงเกนไสตน์ก็โล่งอกแหละครับที่ไม่ต้องเผชิญปัญหาอะไร เขาพยายามลืมความสยดสยองและผลทดลองอันล้มเหลวนี้ซะ แต่ก็ทำได้แค่ช่วงแรกเท่านั้นครับ ชีวิตหลังจากนั้นของแฟรงเกนไสตน์ต้องพบกับความสยดสยองเรื่อยมา เริ่มต้นด้วยการตายของวิลเลียมน้องชายของเขาซึ่งถูกเจ้าอสุรกายนั้นบีบคอตาย เพียงแต่เรื่องนี้ถูกปกปิดอย่างมิดชิดและหาแพะรับบาปได้ คือพี่เลี้ยงของวิลเลียมชื่อจัสติน การที่จัสตินถูกประหารชีวิตโดยไม่มีความผิด ทำให้แฟรงเกนไสตน์ยิ่งทุกข์ทรมานเข้าไปใหญ่เพราะบาปในใจของเขานั่นเอง
เจ้าอสุรกายผลงานของวิคเตอร์ แฟรงเกนไสตน์ หายหน้าหายตาไปหนึ่งปีเต็มๆ เขากำลังจะลืมเรื่องนี้อยู่ทีเดียวเชียว แต่เหมือนสวรรค์แกล้งครับ จู่ๆเจ้าอสุรกายนั้นก็กลับมาหาเค้าพร้อมกับเล่าเรื่องราวที่น่าสงสารของมันให้แฟรงเกนไสตน์ฟัง เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากที่วิคเตอร์วิ่งหนีออกจากห้องทดลอง มันก็หนีออกไปเหมือนกัน เที่ยวสะเปะสะปะพยายามจะเข้าหาผู้คน แต่ผู้คนที่พบเห็นมันต่างก็แสดงอาการเกลียดกลัวออกมาอย่างเต็มที่ ไม่เว้นแม้แต่เมื่อมันช่วยหนูน้อยคนหนึ่งจากการจมน้ำ แต่พ่อของเด็กกลับ เอาปืนยิงมันด้วยความเข้าใจผิด ทำให้เจ้าอสุรกายต้องหนีกระเซอะกระเซิงเข้าป่าไป

ส่วนเรื่องของวิลเลียม ความจริงแล้วมันพยายามจะแสดงความรัก ด้วยการโอบกอดวิลเลียม แต่ด้วยท่าทางอันน่ากลัวและแรงอันมหาศาลผิดมนุษย์ของมัน กลับทำให้เด็กน้อยขาดใจตายไปเสียนี่ เจ้าอสุรกายชีหน้ากล่าวโทษวิคเตอร์ว่า ทั้งหมดทั้งเพที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นความผิดของวิคเตอร์ที่สร้างมันขึ้นมา ทำให้มันต้องผจญกับความโดดเดี่ยวทุกข์ทรมาน มันขอร้องแกมบังคับ ให้วิคเตอร์สร้างอสุรกายแบบเดียวกันขึ้นมาอีกตัวเพื่อเป็นเพื่อนของมัน อย่างน้อยก็สามารถทำให้มัน คลายความโดดเดี่ยวลงได้บ้าง ซึ่งถ้าวิคเตอร์ทำได้จริงแล้ว มันยินดีจะพาคู่เข้าป่า หลบลี้หนีหน้าไม่พบปะกับผู้คนในสังคมอีกต่อไป
มาถึงขั้นนี้แล้ว วิคเตอร์ แฟรงเกนไสตน์ จำต้องรับข้อเสนอของเจ้าอสุรกายอย่างเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่ทำให้เขาต้องตัดสินใจรับปากมันก็เพราะเหตุผลของเจ้าอสุรกาย รวมทั้งคำสัญญาของมันที่จะไม่มาราวีเขา อีกประการหนึ่ง ในส่วนลึกของจิตใจวิคเตอร์เอง ต้องการจะไถ่บาปที่เกิดขึ้นจาก การทดลองโดยไม่ยั้งคิดของเขา วิคเตอร์กับเกลอแก้วเคลอวัล ลงทุนสร้างอสุรกายขึ้นมาอีกตัวหนึ่งที่อังกฤษ ในระหว่างนั้นเอง ทั้งสองกลับมาทบทวนถึงพฤติกรรมของตน และเริ่มละอายใจตัดสินใจที่จะหยุดการทดลองอันบ้าระห่ำไว้แต่เพียงเท่านี้ ซึ่งเจ้าอสุรกายตนนั้นมันก็เหลือร้ายครับ โผล่หน้าออกมา ทั้งวิงวอนต่างๆนานา ให้ทั้งสองทำการทดลองต่อไป แต่คราวนี้วิคเตอร์ใจแข็งครับ ไม่ยอมสยบต่อคำขู่ของมัน ตัดสินใจแล้วว่าตายเป็นตาย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาจะไม่ยอมเดินหน้าการทดลองนี้อีกต่อไปแล้ว เจ้าอสุรกายไม่รู้จะทำอย่างไรกับเขาดี มันจึงจากไปพร้อมความอาฆาตแค้น ฝากไว้เพียงคำพูดที่ว่า สักวันมันจะกลับมาในงานแต่งงานของเขา เพื่อให้วิคเตอร์ลิ้มชิมรสชาติแห่งความโดดเดี่ยวทุกข์ทรมานเสียบ้าง

แฟรงเกนไสตน์และเคลอวัลตัดสินใจหนีไปไอร์แลนด์ ด้วยความหวังที่จะหลบเลี่ยงเจ้าอสุรกาย แต่เจ้านี่ก็เก่งเอาการครับ มันหลบเร้นตามทั้งสองไปได้อย่างแนบเนียน จัดการสังหารเคลอวัลเสียก่อน เพื่อให้แฟรงเกนไสตน์ขาดเพื่อนคู่คิด จากนั้นต่อมา เมื่อแฟรงเกนไสตน์ตัดสินใจแต่งงานกับคนรักเก่า สมัยวัยรุ่น มันก็ทำตามที่ลั่นปากเอาไว้ ปรากฏตัวขึ้นในคืนวันแต่งงานและบีบคอเจ้าสาวจนแหลกละเอียด เรียกว่าตายคามือก็ไม่ผิดครับ

วิคเตอร์ตกที่นั่งเดียวกับเจ้าอสุรกายเสียแล้ว เพราะเพื่อนสนิทและคนรักของเขา ได้ตายจากไป แถมเขาจะเข้าใกล้ใครก็ไม่ได้ กลัวมีอันเป็นไปเพราะเจ้าอสุรกายตนนั้น วิคเตอร์เริ่มต้นการหนีแบบไร้จุดจบ แต่ไม่ว่าเข้าจะไปที่ใด เจ้าอสุรกายก็จะโผล่หน้าไปเยี่ยมเยียนเขาเสมอ คล้ายๆกับว่า เมื่อเขาไม่มีใครแล้ว เขาคงยอมรับเจ้าอสุรกายเป็นเพื่อนสนิทซะเอง จากสภาพต่างๆที่รุมเร้า ทำให้วิคเตอร์สับสนไม่รู้จะการอย่างไรต่อไปกับชีวิตตน ทำให้เขาขึ้นเรือมุ่งหน้าไปยังอาร์ติค ผจญกับความทรมานใจอย่างเงียบๆ จนเมื่อเรือของเขามาติดก้อนน้ำแข็งเคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้ วิคเตอร์ก็ยิ่งทรมานใจหนักเข้าไปอีก สุดท้ายเขาก็ตรอมใจตาย อย่างโดดเดี่ยวที่ขั้วโลกนั่นเอง

หลังจากที่แฟรงเกนไสตน์สิ้นลมได้ไม่นานนัก เจ้าอสุรกายก็ปรากฏตัวขึ้น มันบุกบั่นฝ่าน้ำแข็งอันหนาวเหน็บมา เพื่อตามหาแฟรงเกนไสตน์ให้พบ แต่ที่ได้เห็นก็มีเพียงร่างอันไร้วิญญาณของเขาเท่านั้น มันคร่ำครวญกับเหล่าลูกเรือที่รอดชีวิตว่า มันต้องการเพียงการยอมรับในฐานะมนุษย์ รวมทั้งต้องการความรักจากผู้เป็นนาย ที่ให้กำเนิดเท่านั้น เมื่อไม่มีเขาเสียแล้ว อยู่ไปก็เปล่าประโยชน์ สุดท้ายเจ้าอสุรกายก็กระโดดน้ำตายตามแฟรงเกนไสตน์ไป