วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

แจ็กเดอะริปเพอร์(JACK THE RIPPER : LONDON, ENGLAND)

แจ็กเดอะริปเพอร์ (อังกฤษ: Jack the Ripper) เป็นสมญาของฆาตกรต่อเนื่องที่ออกทำฆาตกรรมในย่าน "ไวท์ชาเปล" ซึ่งเป็นถิ่นยากจนใกล้นครลอนดอนในช่วงครึ่งปีหลังของ ค.ศ. 1888 ชื่อสมญาได้มาจากข่าวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ต่างๆ ที่ลงข่าวจดหมายลึกลับที่เขียนถึงสำนักข่าวกลางโดยผู้เขียนที่อ้างตนว่าเป็นฆาตกร ถึงแม้จะมีการสืบสวนและมีทฤษฎีที่น่าเชื่อถือมากมาย แต่ก็ไม่สามารถบ่งบอกโฉมหน้าที่แท้จริงของฆาตกรได้เลย
ตำนานเล่าขานเกี่ยวกับฆาตกรแจ็กเดอะริปเปอร์ได้กลายเป็นขนมผสมน้ำยา ระหว่างการค้นคว้าวิจัยอย่างจริงจังทางประวัติศาสตร์ ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดและนิทานพื้นบ้าน การขาดหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดทำให้เกิดมีคำว่า "นักริปเพอร์วิทยา" มาใช้เรียกนักประวัติศาสตร์และนักสืบสมัครเล่นที่ศึกษาคดีอันโด่งดังนี้เพื่อกล่าวหาหรือพาดพิงถึงบุคคลต่างๆ ว่าคือตัวริปเพอร์ หนังสือพิมพ์ซึ่งมียอดขายเพิ่มสูงมากในช่วงนี้โทษว่าเป็นเพราะความล้มเหลวของตำรวจที่ไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ ทำให้ฆาตกรฮึกเหิมได้ใจและท้าทาย เหตุการณ์จึงเกิดต่อเนื่องเรื่อยมา ในบางครั้งตำรวจมาถึงที่เหตุเกิดเพียง 2-3 นาที แต่กลับไม่ได้ตัวคนร้าย
เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเกือบทั้งหมดเป็นผู้หญิงที่ออกหาเงินเป็นครั้งคราวด้วยการเป็นโสเภณี ฆาตกรรมส่วนใหญ่เกิดในที่สาธารณะหรือกึ่งสาธารณะ เหยื่อทุกรายถูกเชือดคอ หลังจากนั้นซากศพจะถูกหั่นตรงช่วงท้องและบางครั้งที่อวัยวะเพศ คาดกันว่าเหยื่อจะถูกรัดคอให้เงียบเสียงก่อนลงมือฆ่า มีหลายกรณีที่มีการตัดอวัยวะภายในออก จึงมีผู้อนุมานว่าฆาตกรอาจเป็นศัลยแพทย์หรือไม่ก็คนขายเนื้อ ซึ่งยังหาข้อสรุปไม่ได้

เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายตายจาก
หญิงถูกฆาตกรรมหลายรายยังที่เป็นที่ถกเถียงกันทั้งชื่อและจำนวน แต่รายที่ชี้ได้ชัดว่ากระทำโดยแจ็กเดอะริปเพอร์มีไม่มาก

เหยื่อที่เป็นที่ยอมรับได้แน่นอน 5 ราย
เหยื่อที่เป็นที่ยอมรับทางกฎหมายว่าเป็นฝีมือของแจ็กเดอะริปเปอร์แน่นอนมี 5 ราย มีชื่อเรียกกันว่า "5 เหยื่อบัญญัติ" (Canonical five) ที่ได้จากผลสรุปของการสอบสวนจากหลายฝ่ายจากการที่ศพทั้งหมดมีลักษณะการถูกกระทำเกือบเหมือนกัน เหตุที่ทำให้เป็นที่เชื่อถือได้ในขณะนั้น มาจากความเห็นของหัวหน้าตำรวจชุดสอบสวนกลางคือ เซอร์เมลวิลล์ แมกนอเทน ที่ให้ไว้เมื่อ ค.ศ. 1894 ซึ่งเพิ่งเปิดเผยเมื่อ ค.ศ. 1959 ความจริงแมกนอเทนเข้าร่วมการสอบสวนหลังเกิดเหตุแล้ว 1 ปี โดยไม่มีนักสืบอื่นร่วม ทำให้ "นักริปเปอร์วิทยา" ต้องแยกเอาศพ 2 รายออกจากรายการเดิมที่มี 7 รายเหลือเพียง 5 ราย
การฆ่าเหยื่อบัญญัติทั้ง 5 ทำตอนกลางคืนในที่มืดในวันหยุดหรือใกล้วันสุดสัปดาห์ มีลักษณะช่วงเวลาใกล้เคียงแต่ไม่ตรงกัน เกิดในที่ที่เปลี่ยวแต่สาธารณชนเข้าถึงได้ด้วยการนัดหมาย หรือเป็นที่ที่มีคนไปในช่วงสุดสัปดาห์ มีเพียงรายเดียวที่เกิดในเขตลอนดอนและเกิดบนถนน นอกจากนี้ ลักษณะการกระทำของฆาตกรเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามความโด่งดังของการประโคมข่าว
ความยากในการบ่งชี้ว่าลักณะอย่างใดที่เป็นฝีมือของแจ็กเดอะริปเปอร์อยู่ตรงช่วงเวลาที่มีการฆาตกรรมสตรีซึ่งมากอยู่แล้วในยุคนั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ถ้าเป็นแจ็กเดอะริปเพอร์ คอเหยื่อจะถูกเชือดลึกมาก จะต้องมีการหั่นหรือสับช่วงท้องและอวัยวะเพศ มีการเชือดเอาอวัยวะภายในออกและมีการเฉือนใบหน้าด้วยมีดเป็นริ้วๆ..

เหยื่อที่อาจใช่ฝีมือของแจ็กเดอะริปเพอร์
ยังมีบัญชีแนบท้ายรายชื่อ "5 เหยื่อบัญญัติ" ที่อาจเป็นฝีมือของแจ็กเดอะริปเพอร์อีก 13 รายโดยถือเอาความคล้ายคลึงในการเข้าจู่โจมทำร้ายหรือฆ่า แต่เหยื่อเหล่านี้มีหลักฐานการกระทำไม่ครบถ้วนและละเอียดชัดเจน
การสืบสวน
กรณีแจ็กเดอะริปเพอร์ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าในเทคนิคการสอบสวนและนิติเวชศาสตร์มากที่สุดหลังเหตุการณ์
วิธีการด้านนิติเวชสมัยใหม่ที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบันยังไม่เป็นที่รู้จักของตำรวจนครบาลในสมัยวิกตอเรีย แนวคิดเกี่ยวกับแรงกระตุ้นหรือแรงดลใจให้ลงมือกระทำการฆ่าของฆาตกรต่อเนื่องยังไม่เป็นที่เข้าใจกันแต่อย่างใด ตำรวจในสมัยนั้นเข้าใจเพียงเพียงแรงจูงใจอาชญากรรมที่มีต้นจากความต้องการทางเพศเท่านั้น

การสืบสวน
กรณีแจ็กเดอะริปเพอร์ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าในเทคนิคการสอบสวนและนิติเวชศาสตร์มากที่สุดหลังเหตุการณ์
วิธีการด้านนิติเวชสมัยใหม่ที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบันยังไม่เป็นที่รู้จักของตำรวจนครบาลในสมัยวิกตอเรีย แนวคิดเกี่ยวกับแรงกระตุ้นหรือแรงดลใจให้ลงมือกระทำการฆ่าของฆาตกรต่อเนื่องยังไม่เป็นที่เข้าใจกันแต่อย่างใด ตำรวจในสมัยนั้นเข้าใจเพียงเพียงแรงจูงใจอาชญากรรมที่มีต้นจากความต้องการทางเพศเท่านั้น

สื่อ
ในโลกนี้มีฆาตกรปริศนาที่ฆ่าคนโหดกว่าแจ๊คมากมายหลายรายนัก แต่ทำไมแจ๊คถึงดัง และคนอื่นถึงรู้จักแต่แจ๊ค ทั้งๆ ที่แจ๊คไม่ใช้ฆาตกรต่อเนื่องคนแรกของโลก และไม่ใช้ฆาตกรปริศนาคนแรกของโลกอีก นั้นเป็นเพราะสื่อและสิ่งที่ทำให้สื่อสนใจนั่นก็คือช่วงที่แจ๊คอาละวาดเริ่มจาก 31 สิงหาคม 1888 ช่วงนั้นสก็อตแลนด์สามารถคลี่คลายคดีหมอคลิปเปนฆ่าหั่นศพเมีย องค์กรนี้จึงมีชื่อเสียงทันที พวกเขามักออกมาให้ข่าวทำนองว่าพวกตนมีทีมงานที่มีคุณภาพ มีเทคโนโลยี เวลาสืบสวนแต่ละทีต้องละเอียดยิบ ต่อให้ฆาตกรจะฆ่าใครโดยไม่ทิ้งหลักฐาน ก็ลากฆาตกรลงโทษจงได้ ดังนั้นพอเกิดคดีแจ๊คขึ้นขึ้นมา สื่อที่หมั่นไส้องค์กรตำรวจสก็อตแลนด์ยาร์ดอยู่แล้วเริ่มยิ้มถึงความล้มเหลว ขององค์กรนี้ และก็เริ่มเดือด เมื่อตำรวจอังกฤษไร้น้ำยาปล่อยฆาตกรฆ่าคนไปหลายราย สื่อเริ่มประโคมข่าว และเริ่มกระจายข่าวไปทั่วโลก และชื่อของแจ๊คเริ่มโด่งดังต่อมาเมื่อมีจดหมายส่งมาถึงผู้สื่อข่าว
แต่ต้องยอมรับว่าฆาตกรรมแจ็กเดอะริปเพอร์มีผลต่อชีวิตแบบใหม่ของชาวอังกฤษ แม้ฆาตกรรมต่อเนื่องแจ็กเดอะริปเพอร์จะไม่ใช่กรณีแรก แต่ก็ได้ทำให้สื่อทั่วโลกแตกตื่นแพร่กระจายข่าวนี้อย่างครึกโครม การมียอดจำหน่ายสูงขึ้นมาก ประกอบกับการออกกฎหมายใหม่ลดค่าอากรแสตมป์ทำให้ราคาหนังสือพิมพ์ต่อฉบับลดลงมากจากการพิมพ์จำนวนมหาศาล ทำให้เกือบทุกคนซื้ออ่านได้ เรื่องราวลึกลับน่ากลัวที่ยังจับใครไม่ได้จึงเป็นข่าวที่เพิ่มยอดขายได้สูง หลายคนถึงกับกล่าวว่าชื่อ "แจ็กเดอะริปเพอร์" เป็นชื่อที่หนังสือพิมพ์เป็นผู้ตั้งขึ้นเอง
การแพร่หลายของข่าวที่ประโคมแบบใหม่ทำให้เกิดกรณีฆาตกรรมต่อเนื่องที่คล้ายคลึงกันที่เกิดขึ้นในระยะหลังมีรูปแบบทำนองเดียวกันเช่น "ฆาตกรรัดคอบอสตัน" (the Boston Strangler) "ขุนขวานนิวออร์ลีน" (Axeman of New Orleans) นักซุ่มยิงเบลท์เวย์" (Beltway Sniper) รวมทั้งฆาตกรรัดคอเชิงเขา" (Hillside Strangler) เป็นต้น
ต้นเหตุสำคัญที่อาจเป็นไปได้ในกรณี "แจ็กเดอะริปเพอร์" ที่ได้กล่าวถึง คือการปล่อยละเลยไม่เหลียวแลย่านคนยากจนมากในสมัยนั้นจากชนชั้นสูงผู้ดูแลบ้านเมือง ดังย่านที่เป็นที่เกิดเหตุจึงมีผู้เรียกร้องความสนใจให้บ้านเมืองเข้ามาช่วยเหลือปรับปรุงให้มีสภาพดีขึ้นบ้าง จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ เป็นผู้หนึ่งที่เขียนจดหมายเชิงประชดถึงกรณีดังกล่าวผ่านหนังสือพิมพ์

ผู้ต้องสงสัย
มีความคืบหน้ามากในการพยายามบ่งชี้ตัวฆาตกรแจ็กเดอะริปเพอร์ว่าเป็นใคร มีการพาดพิงหรืออนุมานกันไว้หลายคน แต่ก็ไม่สามารถจะนำไปสู่การจับกุมฆาตกรที่แท้จริงในเวลานั้นได้
ลำดับเหตุการณ์
· 31 สิงหาคม ค.ศ.1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายแรก
· 8 กันยายน ค.ศ.1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สอง
· 25 กันยายน ค.ศ.1888 จดหมายส่งถึงสำนักงานเซ็นทรัล ลงนาม “แจ๊คค เดอะ ริปเปอร์”
· 30 กันยายน ค.ศ.1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สามกับสี่ในเวลาไล่เลี่ยกัน
· 1 ตุลาคม ค.ศ.1888 ไปรษณีย์บัตร์ “แจ๊คจอมซ่าส์”ถึงสำนักข่าวเดิม
· 16 ตุลาคม ค.ศ.1888 พัสดุลงชื่อ “จากนรก” ส่งไตครึ่งซีก ไปให้จอร์ชประธานคระกรรมการป้องกันภัยไวท์แซพเพล
· 9 พฤศจิกายน ค.ศ.1888 เหยื่อรายที่ห้าคาดว่าเป็นรายสุดท้าย
· 31 ธันวาคม ค.ศ.1888 พบศพมองตากู จอห์น ดรูอิทท์ หนึ่งในผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแจ๊คจมน้ำตาย สันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
· ค.ศ.1890 อารอน โคสมินสกี้ ผู้ส่งเข้าโรงพยาบาลโรคจิตและเสียชีวิตในปี ค.ศ.1919
· ค.ศ.1892 ปิดคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ โดยหาผู้กำระทำความผิดไม่เจอ
· ค.ศ.1894 เซอร์เมลวิลล์ แมคนักห์เต็นเขียนบันทึกร่ายยาวแบบลับๆ ว่า เขาสงสัยมองตากู จอห์น ดรูอิทท์
· ค.ศ.1901 มีการสันนิษฐานว่าจดหมายและพัสดุที่ส่งมาเป็นของปลอมทำขึ้นโดยฝีมือของนักข่าว
· ค.ศ.2006 สก็อตแลนด์ยาร์ดเปิดเผยโฉมหน้า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่

สก็อตแลนด์ยาร์ดเปิดเผยโฉมหน้าแจ็กเดอะริปเพอร์
แม้คดีของแจ๊คจะจบลงมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1892 นานแล้ว แต่ใช่ว่าหลายๆ คนจะหยุดการสอบสวน เพราะยังมีผู้สนใจซึ่งเรียกตนเองว่า “นักริปเปอร์วิทยา” และผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมรวมไปถึง สก็อตแลนด์ยาร์ดที่ล้มเหลวยังคงสืบสวนคดีไม่รู้จักหยุดหย่อน แต่จากการสืบสวนของโดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์ สอวนสัน สารวัตรใหญ่ประจำหน่วยสืบสวนคดีอาชญากรรม สก็อตแลนด์ยาร์ด พบว่านายวิลเลียม สมิธ ตำรวจสายตรวจเมื่อ 120 ปีก่อน เป็นพยานคนหนึ่งที่ยังคงมีชีวิตอยู่หลังพบเห็นใบหน้าที่แท้จริงของแจ๊ค
ในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1888 สมิธเห็นชายหญิงคู่หนึ่งอยู่ด้วยกันหลังเที่ยงคืนเล็กน้อย และอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมาผู้หญิงคนที่พบก็กลายเป็นศพที่ 3 ของแจ๊ค โดยชายที่สมิธเห็นนั้น สูงราวๆ 5 ฟุต 7 นิ้ว ไว้หนวดเรียวเล็ก ผิวคล้ำ ซึ่งสอดคล้องกับคอมพิวเตอร์ประมวลผลในปัจจุบันที่วิเคราะห์โดยทางเจ้าหน้าที่ของสก็อตแลนด์ยาร์ด ส่วนเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับตัวแจ๊ค ก็มีคนออกมาเสนอความเห็นอีกเช่นกัน โดยนายคิม รอสโม ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิประเทศบอกว่าเขาใช้เทคนิคอย่างหนึ่ง นำสถานที่เกิดเหตุแต่ละครั้งบวกกับรายงานที่มีพยานพบเห็นมาประเมินว่า ฆาตกรน่าจะอยู่ที่ไหน ผลออกมาคือ ฆาตกรรายนี้น่าจะพักอาศัยในอาณาเขตไม่เกิน 1 ตารางไมล์จากสถานที่เกิดเหตุ และยังวิเคราะห์ลึงลงไปอีกว่า น่าจะอาศัยอยู่ที่แถบถนนฟลาวเวอร์ หรือถนนดีน ซึ่งห่างจุดเกิดเหตุแต่ละครั้งราวๆ ไม่เกิน 100 หลา และยังเป็นพื้นที่ที่ตำรวจเมื่อ 120 ปีก่อน เคยสำรวจ รวมถึงสอบถามเรื่องราวเพื่อตามล่าผู้ต้องสงสัยจากผู้คนในละแวกนี้มาแล้ว แม้จะไม่พบข้อมูลที่สามารถชี้ชัดใดๆ ได้ก็ตาม
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม สก็อตแลนด์ยาร์ดได้เปิดเผยหลักฐานชิ้นสำคัญ นั้นคือบันทึกส่วนตัวของโดนัลด์ ซุทเธอร์แลนด์ สวอนสัน สารวัตรใหญ่ประจำหน่วยสืบสวนคดีอาชญากรรม สก็อตแลนด์ยาร์ด ผู้รับผิดชอบคดีนี้นับตั้งแต่วันเกิดเหตุ ซึ่งทายาทของสวอนสันตัดสินใจมอบบันทึกนี้ให้พิพิธภัณฑ์อาชญากรรมของสก็อตแลนด์ยาร์ด โดยบันทึกนี้เขียนด้วยมือของสวอนสันเองหลักจากเกษียณอายุราชการแล้ว ที่ยังคงกังวลใจเกี่ยวกับคดี แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์​ และเขียนบันทึกนี้ไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้อ่านเกี่ยวกับข้อมูลคดี ที่น่าสนใจคือ สวอรสันได้ระบุชื่อของบุคคลที่เขาคาดว่าจะเป็น “แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์” ไว้ในบันทึกเล่มดังกล่าวด้วย
บันทึกนี้ระบุว่าฆาตกรคนนั้นชื่อ อารอน โคสมินสกี้ เป็นช่างตัดผมชาวยิวที่อาศัยในเขตไวท์แซฟเพลย่านที่เกิดเหตุนั้นเอง สำหรับนาย อารอน โคสมินสกี้ นี้มีการชี้ตัวอย่างลับๆ ของพยานคนหนึ่งที่อ้างว่าเห็นตัวฆาตกร แต่พยานคนนี้ไม่ยอมร่วมมือกับราชการเท่าไหร่เพราะไม่อยากชื่อว่าเป็นคนทรยศ เพื่อนร่วมเชื้อชาติเดียวกันอย่างไรก็ตาม ในการร่วมมือแบบไม่เปิดเผยนั้น ตำรวจพาพยานไปชี้ตัว โดยนายโคสมินสกี้ไปรวมกับคนอื่นๆ ซึ่งพยานสามารถชี้ตัวได้ถูกต้อง หลักจากนั้นตำรวจก็จับตามองโคสมินสกี้ตลอด แต่ตอนนั้นนายนั้นดันเกิดอาการโรคจิตกำเริบ จนถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลรักษาอาการ งานนี้หลานของสวอนสัน คือเนวิลล์ สวอนสัน บอกว่าคุณปู่มั่นใจเลยว่านายโคสมินสกี้เป็นฆาตกรแน่นอน แต่มีเหตุผลบางอย่างที่ไม่สามารถจับกุมเขาได้
ความเห็นของสวอนสันนั้นก็สอดคล้องกับเจ้านายเขาเหมือนกัน คือเซอร์โรเบิร์ต แอนเดอร์สัน เขาก็เขียนบันทึกเหมือนกันว่า สงสัยนายโคสมินสกี้เหมือนกัน อันที่จริงชื่อของโคสมินสกี้ไม่ใช้เพิ่งจะโผล่ออกมา แต่เป็นชื่อต้นๆ ที่เคยถูกอ้างมาก่อนโดยเจ้าหน้าที่เซอร์เมลวิลล์ แม็กนักห์ แต่เขาเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับสองเพราะเขาสนใจนายมองตากู จอห์น ดรูอิทท์ ว่าน่าจะเป็นแจ๊คมากกว่าแต่โคสมินสกี้จะเป็นแจ๊ค หรือไม่นั้นไม่มีใครตอบได้ เพราะตอนนี้เจ้าตัวลาโลกไปนานแล้วจะเชิญมาสอบปากคำคงต้องขึ้นคนทรงเจ้าแหละ แถมแม้มีการเปิดเผยเรื่องมากขึ้น แต่ปริศนาก็คือปริศนา เพราะมีคนบางคนนำเสนอว่าบางที่แจ๊คนั้นไม่ได้มีคนเดียว แต่มันมีสองคนขึ้นไปดำเนินการต่างหาก
นายเทรเวอร์ แมริออต อดีตนายตำรวจอังกฤษทุ่มเทเวลากว่า 10 ปี ในการศึกษาสำนวนคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ และประกาศว่า “ไม่มีทางเลยที่ฆาตกรผู้นี้จะทำงานได้โดยลำพังเพียงคนเดียว”เขาว่าจำนวนเหยื่อของแจ๊คนั้นไม่ทราบแน่ชัดว่ามีกี่รายกันแน่ บางคนบอกว่ามีกว่า 10 ราย แต่เท่าที่นักริปเปอร์วิทยาทั้งหลายลงความเห็นว่าแท้จริงมีเหยื่อแค่ 5 รายเท่านั้นโดยนับจากรายแรกตั้งแต่สิ้นเดือนสิงหาคม ค.ศ.1888
แต่สิ่งที่แมริออตสะดุดใจมากคือ เหยื่อรายที่ 3 และ 4 เพราะเกิดเหตุในคืนเดียวแต่สถานที่กันซึ่งมีระยะห่างกันเพียง 12 นาที ทำให้มีการคาดว่าน่าจะมีการแยกกันลงมือเพราะในเวลาที่น้อยขนาดนี้ ไม่น่าจะมีใครว่องไวพอขนาดทำงานได้ 2 ศพ ในเวลาไล่เลี่ยงขนาดนี้ บางทีโคสมินสกี้อาจร่วมมือกับใครคนหนึ่งหรืออาจเป็นองค์กร สมาคม หรือใครสักคนที่มีอิทธิยิ่งใหญ่ในอังกฤษ เขาอาจได้ค่าจ้างร่วมมือกันฆ่าโสเภณีทั้ง 5 โดยมีวัตถุประสงค์บางอย่างซึ่งเราก็ไม่ทราบได้
จนกระทั่งเวลาผ่านไป 120 ปี ปลายปี ค.ศ. 2006 สก็อตแลนด์ยาร์ดก็เปิดเผยโฉมหน้าของแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ในที่สุด

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

บทความ 10 ตำนานผีสุดสยอง!


อันดับ 10 ปรากฏการณ์แม่มดเบลล์ (The bell witch)
  
ที่ตั้ง เมืองอดัมส์ มลรัฐเทนเนสซี อเมริกา

ในปี ค.ศ.1817 สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อปรากฏการณ์หลอนที่มีชื่อที่สุดในอเมริกา ผู้คนทุกสารทิศพากันหลั่งไหลมาชม รวมไปถึงประธานาธิบดีด้วย
ซึ่งก็ไม่เคยผิดหวังทุกคนได้เห็นกันทั่วหน้า ซึ่งว่ากันว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากหญิงชราชื่อ เคท แบทส์ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวเบลล์
เธอเจ็บแค้นมากเมื่อครอบครัวนี้โกงเธอในการซื้อขายที่ดิน ดังนั้นก่อนตายเธอได้สาปแช่งว่าถ้าเธอเป็นผีฉันจะให้ดู และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ครอบครัวของเบลล์ต้องประสบเคราะห์กรรมต่างๆ นาๆ จากผีที่มองไม่เห็นไม่ว่าจะเป็น ข้าวของแตกกระจาย เข็มทิ่มตามร่างกาย นมหกเลอเทอะ
ดึงผ้าคลุมจากเตียง การทุบตี แถมเสียงหัวเราะสยองแกล้งแบบสะใจ แม้กระทั่งตอนสมาชิกในครอบครัวตายผีตนนี้ยังไม่วายที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์
หัวเราะร้องเพลงอย่างเริงร่าและดังยาวนานจนผู้ร่วมพิธีศพคนสุดท้ายออกจากงานฝังศพ

แม้ทุกวันนี้ครอบครัวเบลล์จะหมดรุ่นไปแล้วเกือบ 200 ปี ก็ตาม แต่ทุกวันนี้วิญญาณยังปรากฏตัวอยู่ เนื่องจากมีผู้พบเห็นปรากฏการณ์แปลกๆ
ภายในถ้ำแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในบริเวณครั้งหนึ่งที่เคยเป็นสมบัติของเบลล์


อันดับ 9 ผีที่บ้านเลขที่ 50 เบิร์กเลย์สแควร์ (50 Berkeley Square)
สถานที่ตั้ง บ้านเลขที่ 50 เบิร์กเลย์ สแควร์ กรุงลอนดอน

ผีที่นี่ดุจริงๆ เพราะมันทำให้เหยื่อเคราะห์ร้ายต้องสังเวยให้กับมัน แม้ไม่มีใครทราบที่มาแต่หลายคนต่างโดนมันฆ่าถ้าใครก็ตามที่มานอนพักบ้านร้าง
หลังนั้น เช่นในปี 1887 กะลาสีสองคนชื่อเอ็ดเวิร์ด บลันเดนและโรเบิร์ต มาร์ติน ได้อาศัยบ้านหลังนี้พักชั่วคราวและต่อมากลางคืนบลันเดนก็พบเห็น
ผีและสู้กับมันส่วนมาร์ตินหนีออกมาเพื่อแจ้งตำรวจและเมื่อกลับมาก็พบบลันเดนตายอยู่บันไดชั้นล่างในสภาพคอหัก ดวงตาเบิกโพลง นอกจากนั้น
จอร์จ แคนนิ่ง นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก็โดนด้วยและ เสียชีวิตในปี 1827

ปัจจุบันคนละแวกแถวนั้นมักตกใจเสียงทุบและเสียงกระแทกปึงปังในบางคืน

อันดับ8 บ้านอมิตี้วิลล์ (Amityville House)
สถานที่พบเจอ บ้านเลขที่ 112 โอนอเวนิว อเมริกา

บ้านอมิตี้วิลล์ โอนอเวนิว เป็นบ้านทรงดัทซ์ โคโลเนียล หน้าตาเหมือนโรงนาทรงสูงที่ที่สวยงามมากหลังหนึ่ง ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1924 แต่เมื่อ
13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 เกิดการฆาตกรรมหมู่ครอบครัวหนึ่งจากนั้นเป็นต้นมาที่นี่ก็กลายเป็นบ้านผีดุ ไปในบัดดล โดยที่โด่งดังที่สุดคือกรณี
ของครอบครัวของจอร์จ ลัทซ์ก็อาศัยอยู่บ้านหลังนี้และพบเหตุการณ์ประหลาดแทบทุกคืนไม่ว่าจะเป็น เสียง รอยเท้า ผีอำ ฯลฯ นอกจากนั้น ไม่ว่า
ใครหน้าไหนเอาเรื่องนี้มาแต่งเป็นนิยายหรือทำเป็นหนังจะโดนคำสาป เห็นได้จาก เคยมีคนนำเรื่องอมิตี้วิลล์มาสร้างหนังปรากฏว่าหลายคนในกอง
ถ่ายต่างประสบเคราะห์กรรมต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ลึกลับ เจ็บไข้ ได้ป่วย หรือแม้กระทั่งตายอย่างลึกลับ (ปัจจุบันเราสามารถหาดู
เรื่องนี้จากหนังเรื่องผีทวงบ้านครับ) ระวังจะโดนคำสาบ!!

อันดับ 7 เดอะ ฟลายอิ้ง ดัชท์แมน (Flying Dutchman)
สถานที่พบเจอ แหลม Good Hope ฮอลแลนด์ และท้องทะเลทั่วโลก(ไทยก็เคยเจอ)

เป็นเรือปีศาจที่ปรากฏตัวให้เห็นบ่อยๆ ในทั่วโลกมาแล้วหลายร้อยปี เดิมคือ เรือ Flying Ducthman เป็นของกัปตัน Van Der Decken ที่นิสัยไม่ดี
โดยเขาหายสาปสูญที่แหลม Good Hope ก่อนหายได้ตะโกนขึ้นว่า "ข้าจะยังคงวนเวียนอยู่ที่แหลมแห่งนี้ ถึงแม้ว่าข้าจะต้องล่องเรือจนถึงวาระสุด
ท้ายของโลกก็ตาม" และนับจากนั้นเป็นต้นมาผู้คนทั่วโลกก็พบเรือปีศาจแบบนี้ และว่ากันว่าเรือใดที่เห็นเรือปีศาจนี้จะต้องรับความพินาศ โดยในปี
1881 คนประจำเรือเจ้าชายจอร์จที่ 5 เห็นเรือนี้จากนั้นไม่นานเขาก็พลัดตกเสากระโดงเรือตาย.... ทุกวันนี้ก็ยังมีคนกล่าวอ้างอยู่เสมอว่าเห็นเรือ
ฟลายอิ้ง ดัทช์แมนยังคงรอนแรมอยู่เดียวดายกลางทะเลด้วยรูปลักษณ์อันเศร้าโศกและสยดสยอง ริชาร์ด วากเนอร์ คีตกวีชื่อก้องโลกได้อาศัย
ตำนานปีศาจนี้แต่งอุปรากรที่มีชื่อว่า Der Fliegende Hollander

อันดับ 6 วิญญาณที่โบลถ์บอร์ลีย์ (Borley Rectory)
สถานที่พบเจอ กรุงลอนดอนทางตะวันออกเฉียงเหนือ 60 ไมล์ แถบชานเมืองเอสเซกซ์(ปัจจุบันโดนทุบทิ้งแล้ว)
เมื่อปี ค.ศ.1362 นักบวชนิกายเบเนดิกทีนและแม่ชีจากสำนักชีในละแวกนั้นถูกพ่อมดหมอผีและชาวบ้านที่งมงายจับสองคนไปฆ่าโดยนักบวชถูก
แขวนคอส่วนแม่ชีถูกฝังทั้งเป็นภายในผนังของสำนักชี ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นโบสถ์แห่งบอร์เลย์ในปี 1863 และหลังจากนั้นเหตุการณ์ประหลาดก็
เกิดขึ้นต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นก้อนหินที่ขว้างไปโดยไม่รู้ที่มา รอยเท้าประหลาด เสียง และภาพหลอนขนาดปรากฏตัวในตอนกลางวันแสดๆ เลยก็มี
โดยปี 1929 เธอปรากฏตัวถี่ขึ้นและเริ่มเห็นเต็มตัวโดยในลักษณะแต่งกายเป็นชีและท่าทางใบหน้าเศร้าหมองร้องขอให้มีผู้พบศพเธอเพื่อประกอบ
พิธีทางศาสนา และมีผู้ถ่ายรูปเธอออกมาเพียบ จนกระทั่งคืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1939 ก็เกิดเพลิงไหม้ตอนเที่ยงคืนและเผาโบสถ์จนเหลือเพียง
ซากและโบสถ์ก็โดนทุบทิ้งจนผีไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย

อันดับ 5 วิญญาณสีชาด

กษัตริย์เฮนรีที่ 4
สถานที่พบเจอ ฝรั่งเศส ???


วิญญาณสีชาดตนนี้ไม่มีที่มา แต่มันสำแดงตนเสมอในช่วงเปลี่ยนกษัตริย์ของฝรั่งเศส เป็นร่างของชายสูงใหญ่ ใส่เสื้อคลุมสีชาด มีเครายาวสีชาด
เช่นกัน ร่างนี้ไปปรากฏต่อพระพักตร์ของกษัตริย์เฮนรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ในคืนที 13 พฤษภาคม 1610 ในห้องพระบรรทมของกษัตริย์เฮนรีเลยทีเดียว
แล้วมันก็กล่าวคำพยากรณ์ว่า "พรุ่งนี้เจ้าจะต้องตาย" พระองค์ตกใจมากและรีบเรียกตัวขุนนางผู้ใหญ่มาหารือเพื่อหาทางแก้ไข และอีก 12 ชั่วโมงต่อมา
เฮนรีก็ถูกผลักตกจากบัลลังก์จริงตามคำพยากรณ์เพราะฟรองซัวราวิลแย็คทำการรัฐประหาร นอกจากนี้วิญญาณตัวนี้ยังสำแดงตนให้นโปเลียน โปนา
ปาร์ตเห็นถึง 4 ครั้ง และครั้งที่ 4 คือคืนวันที่ 5 พฤษภาคม 1821 ก็เป็นวันตายของนโปเลียนนั้นเอง

อันดับ 4 ผีชุดขาวแห่งเบอร์ลิน (Ghost White of The Berlin)
สถานที่พบเจอ เยอรมัน- ฝรั่งเศส ??

ว่ากันว่าเป็นวิญญาณของอันนา ซิโดว์ ภรรยาลับของกษัตริย์โจอาคิมที่ 2 ในศตวรรษที่ 16 ที่ถูกจับขังจนถึงแก่กรรม ซึ่งใครก็ตามที่ได้เห็นวิญญาณ
หญิงสีขาวเมื่อไหร่คนในราชวงศ์นั้นจะประสบเคราะห์กรรม เช่นปี 1619 มหาดเล็กของกษัตริย์จอร์น ซิกมุนด์เห็นร่างสีขาวก่อนที่จะตายโดยอุบัติเหตุ
จากนั้นกษัตริย์จอห์น ซิกมุนด์ก็สวรรคต, นอกจากนั้นกษัตริย์หลายพระองค์ก็เห็นวิญญาณนี้ปรากฏที่รัสเซีย ปารีส และครั้งสุดท้ายที่ปรากฏคือวันที่
29 เมษายน 1945 ซึ่งเป็นวันล่มสลายของนาซีเยอรมันที่เบอร์ลินพอดี!!

อันดับ 3 วิญญาณที่เรือควีนแมรี่ (Queen Mary)
สถานที่พบเจอ เรือควีนแมรี่(ปัจจุบันถูกจอดไว้ที่เมืองลองบีช โดยดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ โรงแรม)

ควีนแมรี่เป็นเรือใหญ่มากลำหนึ่งในประวัติ ศาสตร์อังกฤษ เคยถูกนำมาใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วถูกปลดระวางในปี 1967 เพื่อนำไปทำโรงแรม
ซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่าถ้าใครตายในเรือแมรี่มีอันต้องเป็นผีเฝ้าเรือทุกตน โดยมีผู้พบเห็นผีนี้ตามจุดทั่วเรือในลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรอยเท้าที่เปียก
น้ำ เด็กน้อยตามหาแม่และหายตัวไปต่อหน้า สตรีในชุดราตรีโบราณ ฯลฯ

อันดับ 2 วิญญาณของพระนางแคทเธอรีน โฮวาร์ด (Catherine Howard)

สถานที่พบเจอ หอคอยลอนดอน ประเทศอังกฤษ

แม้พระนางจะโดนสำเร็จโทษหลังอภิเษกกับพระเจ้า เฮนรีที่ 8 ได้เพียง 8 เดือน ไปตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1542 แล้วก็ตาม ระเบียงของพระราชวัง
แฮมตัน คอร์ท พาเลสทุกวันนี้ยังมีเสียงร้องโหยหวนในยามดึกเสมอ นอกจากนี้ยังสิงสู่อยู่ที่อีธอร์น มาเนอร์ ฮอลลิงบอร์น เค้นท์อีกด้วย


อันดับ 1 วิญญาณของพระนางแอนน์ โบลีน (Anne Boleyn the headless Queen)
สถานที่พบเจอ หอคอยลอนดอน ประเทศอังกฤษ (รูปถ่ายนี้ถูกถ่ายในธันวาคม ที่ศาล Hampton ใกล้ลอนดอน)

พระเจ้าเฮนรีที่ 8 นี้ช่างเป็นต้นเหตุสร้างเรื่องสยองจริงๆ เมื่อพระนางแอนน์ โบลีนพระมเหสีองค์ที่สองถูกสำเร็จโทษ 19 พฤษภาคม ปี 1536 โดยก่อน
ตายนางกล่าวว่า "โอ้ ความตาย นำข้าให้หลับใหล พาข้าให้พักอย่างเงียบสงัด นำข้าไปสู่ผี..ที่สุดแสนจะเงียบงัน ออกไปจากอกของข้าที่ห่วงหา
อาทร ย่ำระฆังความตายที่เศร้าสร้อย ปล่อยให้มันก้องกังวาน"

ว่ากันว่าวิญญาณของพระนางจะกลับมาที่ บลิคลิง ฮอลล์ ในนอร์ฟอล์ค ในวันครบรอบที่พระนางถูกสำเร็จโทษ ซึ่งสถานที่แห่งนั้นพระนางเคยใช้
ชีวิตในวัยเยาว์ที่นั้นเลยผูกพันเป็นพิเศษ ซึ่งมีรายงานปรากฏวิญญาณของพระนางไปยังสถานทีประสูติไม่ว่างเว้น โดยผู้คนมักเห็นร่างของหญิงสูง
ศักดิ์ปราศจากศีรษะ นั่งอยู่ในรถม้าที่ลากโดยม้าที่ปราศจากหัวสี่ตัว และคนขับซึ่งไม่มีหัวเช่นกัน รถม้าจะวิ่งช้าๆ ไปยังอาคารโบราณที่บลิงตันและ
หายลับไปยังประตูหน้า นอกจากนี้พระนางยังปรากฏอยู่ที่หอคอยแห่งลอนดอนอีกด้วย โดยผู้ใดที่อยู่ตรงข้ามพระนางจะพลอยได้พบหายนะไปด้วย
เสียสิ้น โดยใครพบเจอคนนั้นอาจหัวใจวายตายในเวลาไม่นาน ไม่ก็

ต้นไม้กินคน (Man-eating tree)

พูดถึงต้นไม้กินคน (Man-eating tree) มันมีอยู่ในนิยายหลายเรื่อง และเรื่องเล่ามาช้านานแล้ว แต่ปัญหาที่นักธรรมชาติวิทยาต่างสงสัยกันคือ มันมีจริงอยู่บนโลกใบนี้หรือเปล่า?
                จริงอยู่ที่พวกต้นไม้กินสัตว์(Carnivorous-plants) มีอยู่จริง และมีหลายชนิดด้วย แต่มันกินแค่แมงและสัตว์เล็กๆเท่านั้น แต่พวกสัตว์ใหญ่ๆ นั้น นักพฤกษศาสตร์บอกว่ามันไม่เคยปรากฏ
                แต่ทว่า เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 19  คาร์ล ลิช (Karl Liche) นักเดินทางชาวเยอมันได้เขียนจดหมายถึง ดร.โอเมเลียส เฟรดโลวสกี้ เขาเล่าเรื่องเหลือเชื่อ ที่เขาท่องเที่ยวบนเกาะมาดากัสคาร์และได้พบกับต้นไม้กินคน..........
                เขากับเพื่อนเฮนดริกที่เป็นล่าม ได้ทำความรู้จักฉันมิตรกับพวกปิกมี่เผ่าฮึมโกโด ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในถ้ำ คนพวกนี้เป็นชนเผ่าล้าหลังที่ยังเปลือยกายอยู่ พวกเขาชวนคาร์กร่วมพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็พากันเดินเข้าไปในป่าทึบแล้วไปหยุดตรงที่โล่งตรงคุ้มลำธาร ที่นั้นมีต้นไม้ประหลาดขึ้นต้นหนึ่ง ซึ่งพวกฮึมโดโดเรียกมันว่า เตเป (Tepe)
                คาร์ล ลิช ได้พรรณนารูปร่างลักษณะที่พิลึกพิลั่นของมันว่า
                
                ลองนึกภาพสับประรดสูงแปดฟุตและใหญ่ตามสัดส่วน แต่เป็นสีน้ำตาลเข้ม ดูแล้วแข็งเหมือนเหล็ก ใบแปดใบย้อยลงมาจากลำต้น แต่ละใบยาวราวสิบเอ็ดฟุต และเรียวจนแหลม ใบสีเขียวคล้ำเหี่ยวห้อยและเหนียวมากเหมือนเสี้ยนโอ๊ก มีของเหลวใสรสหวานดื่มแล้วทำให้เมามายซึมออกมาที่แอ่งกลางยอดมีมือพัน ยาวแปดฟุตสีเขียว มีขนยาวออกมาทุกทิศทุกทาง มีรยางค์สีขาวเกือบใสหกใบชูสูงขึ้นไปในอากาศ หมุนและบิดไปมาไม่หยุดนิ่ง แต่ก็ยังชูตั้งอยู่อย่างนั้น มันสูงห้าหกฟุต บางขนาดใบกก และอ่อนเหมือนขนนก.............
                การเฝ้าของข้าพเจ้าถูกขัดจังหวะลงด้วยพวกพื้นเมืองที่เดินส่งเสียงไปรอบๆ ต้นไม้ด้วยน้ำเสียโหยหวน เขาท่องมนต์ที่ล่ามของข้าพเจ้าบอกว่าเพื่อขอลุแก่โทษปีศาจที่ยิ่งใหญ่ประจำต้นไม้ ขณะที่ยังคงกรีดร้องและท่องมนต์กระชั้นขึ้นนี้ พวกเขาก็ล้อมหญิงสาวคนหนึ่งใช้หลาวแหลมๆ จี้เธอ เธอไต่ขึ้นไปตามลำต้นอย่างช้าๆ สีหน้าหมดหวังและขึ้นไปยืนอยู่บนปลายยอด ซิก! ซิก! (ดื่ม! ดื่ม!) เสียงคนร้องตะโกณบอก เธอก้มลงดื่มน้ำเหนียวข้นในเบ้าแล้วยืนขึ้นใหม่ด้วยใบหน้าบ้าคลั่งและแขนสั่นระริก เธอทำเหมือนกระโดดลงมา แต่มิได้กระโดด
                ต้นไม้กินคนที่เห็นนิ่งเฉยและดูเหมือนตายกลับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง รยางค์ที่เรียวและบอบบางของมันสั่งระริกดั่งความโกรธเกรี้ยวของอสรพิษที่กำลังหิวกระหายอยู่เหนือตัวของเธอ แล้วเหมือนด้วยสัญชาตญาณของปีศาจ มันมัดเธอด้วยการรัดรอบคอและแขนรอบแล้วรอบเล่า ขณะเดียวกันเสียงเกลียดร้องด้วยความหวาดกลัวของเธอก็ค่อยแผ่วลง กลายเป็นเสียงครางอึกๆ อักๆ มือพันที่ดูเหมือนงูสีเขียวตัวใหญ่พากันชูขึ้นและหดตัวรัดรอบเธอวงแล้ววงเล่า รัดแน่นๆ เข้าอย่างรวดเร็วและเหนียวแน่นเหมือนงูอนาคอนดารัดเหยื่อไม่มีผิด
                แล้วตอนนี้ใบใหญ่ๆ ของมันก็ค่อยๆ ยกขึ้นช้าๆ และแข็งขึ้น เหมือนแขนของปั่นจั่นยกตัวเองขึ้นบนอากาศ ขึ้นไปหาใบอื่นและปิดหุ้มรัดเหยื่อที่ตายแล้วด้วยพลังอันเงียบเชียบ เห็นโคนของใบไม้เหล่านี้เบียดเข้าหากันแน่นๆ เข้า มีของเหลวคล้ายน้ำผึ้งผสมเลือดไหลออกมาตามลำต้น พอเห็นดังนี้พวกคนป่ารอบๆ ตัวข้าพเจ้าก็ไชโยโห่ร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง วิ่งเข้าห้อมล้อมต้นไม้ ใช้ใบไม้ ใช้มือรองของเหลวมาดื่ม บ้างก็ใช้ลิ้นเลียจนมึนเมา จากนั้นก็มีพิธีกรรมที่อุจาดตามมาอีกจนไม่สามารถบรรยายได้ตามมา
                ใบไม้ของต้นไม้ใหญ่คงอยู่ตำแหน่งตั้งขึ้นข้างบนแบบนั้นอยู่สิบวัน เมื่อข้าพเจ้ากลับมาในเช้าวันหนึ่งมันก็กลับตกลงเหมือนเดิม มือที่พันก็เหยียดยาวอย่างเดิม และนอกจากกะโหลกขาวที่ตกอยู่ที่โคนต้นแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นเปลี่ยนแปลง

                จดหมายฉบับนี้ถูกส่งในนิตยสารภาษาเยอรมันชื่อ Graefe und Walther เมื่อปี 1878 หลังจากนั้นก็มีผู้แปลลงในหนังสือพิมพ์เมล์ที่ออกที่เมืองมัทราส อินเดีย และลงในหนังสือพิมพ์เวิลด์ ของกรุงนิวยอร์ก และในนิตยสารรียิสเตอร์ของออสเตรเลียเมื่อ ปี 1880 ทำให้เรื่องของต้นไม้กินคนกลายเป็นสนใจของสาธารณชน แต่พวกนักพฤษศาสตร์และนักสำรวจหลายคนไม่ยอมรับเรื่องนี้เพราะอ่านแล้วมันเหมือนนิยายเกินไป อีกทั้งคนชื่อลิชก็เป็นใครก็ไม่รู้ ทำให้เรื่องของต้นไม้กินคนจึงค่อยๆ เงียบหายไป
               
                ต้นไม้กินคนเพิ่งจะกลับมาฮือฮากันอีกครั้งเมื่อหนังสือพิมพ์อเมริกันวิกลี่ ฉบับวันที่ 26 กันยายน 1920 นำมาลงเป็นเรื่องแทรกวันอาทิตย์ โดยปัดฝุ่นจดหมายของลิชมาเล่าใหม่ ให้ตื่นเต้นมากขึ้น พร้อมลงภาพประกอบเป็นสาวผมทองอยู่ในวงรัดของต้มไม้กินคน จนเป็นที่สนใจของผู้คนจำนวนมาก ไม่เว้นแม้กระทั้งผู้ว่าการรัฐมิชิแกน เชส ซาลมอน ออสบอร์น ที่อุตสาห์ลงทุนไปที่มาดากัสคาร์ เพื่อไปเห็นต้นไม้กินคนด้วยตาของตัวเอง
                ถึงแม้ออสบอร์นจะไม่พบต้นไม้กินคนมาที่สมหวังก็ตาม แต่คนพื้นเมืองบนเกาะนั้นแทบทุกคนบอกว่าเคยพบต้นไม้ดังกล่าว เขาบอกว่าต้นไม้นี้มีอยู่จริง
                แต่กระนั้นพวกนักพฤกษสาสตร์ก็ทนความรำคาญออกมาโต้ว่า ถ้าเจอมันจริง พวกตนจะให้เงินรางวัลหมื่นเหรียญเลยก็มี
                และไม่รู้เพราะเงินรางวัลหรือเปล่า? ที่ทำให้นักผจญภัยที่หิวเงินต่างตามล่าต้นไม้กินคน แอล เฮิร์สต์ อดีตนายทหารอังกฤษ เดินทางไปเกาะมาดามกัสคาร์เมื่อปี 1935 แม้เขาไม่พบชนเผ่าฮึมโกโด แต่ใช้ว่าล้มเหลว เพราะเขาเจอคนที่บอกเรื่องราวว่า มันคือ ต้นไม้กินคน ที่เรียกมันว่า ต้นไม้ปีสาจ ที่ดักและกินคนมีอยู่จริง จากนั้นเขาก็ท่องเที่ยวค้นหาอยู่บนเกาะนานถึงสีเดือน จนกระทั้งพบต้นไม้ดังกล่าว เขาได้ถ่ายภาพมาด้วย เป็นรูปต้นไม้ใหญ่มีกระดูกสัตว์เกลื่อนรอบลำต้น แต่เขาไม่สามารถเอาต้นเป็นๆ มาได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะขนออกมาอย่างไร
                แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ยอมเชื่อภาพถ่ายเหล่านั้น หาว่าเฮิร์สต์ทำปลอมขึ้นมา เพื่อพิสูจน์ความจริง เฮิร์สต์ได้เดินทางไปที่เกาะมาดากัสคาร์อีกครั้ง แต่ทว่า คราวนี้ เขาไปลับไม่กลับมาอีกเลย ทำให้เรื่องของต้นไม้กินคนยังคงความลึกลับและน่าค้นหาจนถึงปัจจุบัน

EL CHUPACABRA ตัวกินแพะ

กลางดึกของค่ำคืนหนึ่ง ณ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ในประเทศเปอโตริโก ดวงจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้าทอแสงสีเงินนวลสดใส บรรดาสรรพชีวิตต่างก็หลับพักผ่อนในยามค่ำคืน ยกเว้นสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งที่ยังคงลืมตาสีแดงโพลงท่ามกลางดงพุ่มไม้ เพื่อรอจังหวะเข้าจู่โจมเหยื่อที่มันหมายตาเอาไว้ ครั้นพอไว้เวลาและจังหวะที่มันรอคอย มันก็เคลื่อนที่ไปตามพื้นดินอย่างรวดเร็วและเงียบกริบ ด้วยอาการย่องที่คล้ายการกระโดดของจิงโจ้ เบื้องหน้ามันเป็นแพะตัวผู้รูปร่างล่ำสันตัวหนึ่งกำลังหลับอย่างสบายอารมณ์ โดยหารู้ไม่ว่ามัจจุราชได้มาเยือนมันแล้ว ฉับพลันนั้น ฉึก !! สวบ !! เป็นเสียงเจาะของเขี้ยวเข้าที่บริเวณลำคอของแพะตัวนั้น ตามมาด้วยเสียงเหมือนดูดของเหลวออกจากคอแพะตัวนั้น มันกำลังดูดเลือดเหยื่อที่โชคร้ายของมันด้วยเขี้ยวขาว ยาวเป็นมันวาว พอใกล้เสร็จภารกิจกับแพะตัวนั้นและเริ่มอิ่มแล้ว มันก็ผละจากไป ทิ้งศพแพะไว้ให้เป็นที่สงสัยของเจ้าของฟาร์มในวันรุ่งขึ้น………มันคือ EL CHUPACABRA "Goat Sucker"



แหมขึ้นเรื่องมายังกับนิยายสยองขวัญ อิอิ ครับ ก็เป็นเรื่องสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ไม่มีระบุอยู่ในทางวิทยาศาสตร์ Species หรือเผ่าพันธุ์ใดที่แน่ชัด หนึ่งในหลายๆ Creatures หรือ Monsters อีกสายพันธุ์หนึ่งบนโลกใบนี้

เจ้าตัว El Chupacabra นี้คืออะไรและมาจากไหน ? ไม่มีคำตอบที่แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทใดและมาจากไหน แต่ชื่อของมันในภาษาสเปน (Spanish) แปลว่า "Goat Sucker" ตั้งชื่อตามวิธีที่มันดูดเลือดแพะเป็นอาหาร เจ้า El Chupacabra ปรากฏตัวขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประเทศเปอโตริโก (Puerto Rico) ครับ ในช่วงราวปี ค.ศ.1994-1995 ซึ่งเกิดในหุบเขาของเปอโตริโกเป็นแห่งแรกที่ Canovanas ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นพบซากของสัตว์เลี้ยงถูกฆ่าตายจำนวนหนึ่ง ทีแรกก็ไม่ได้สนใจ คิดกันว่ามันอาจจะเป็นหมาป่าหรือหมาจิ้งจอกเกเร แต่พอสำรวจเจอเข้ากับรอยเจาะ 2 รูที่เปื้อนไปด้วยรอยเลือดเกรอะกรังขนาดเท่ากับหลอดกาแฟบนตัวสัตว์ทุกตัวที่นอนตาย ที่สำคัญที่สัตว์เหล่านั้นตัวซีดเผือดและมีกลิ่นกำมะถันติดอยู่ มันไม่มีเลือดเหลืออยู่ในลำตัวเลยครับ จะมีบ้างก็ในปริมาณที่น้อยมาก เป็นสิ่งประหลาดมากสำหรับชาวบ้านแถบ Canovanas

ต่อมาเริ่มพบซากของสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นแพะ สุนัข ตายในลักษณะเดียวกันนี้มากขึ้น ความกลัวเริ่มเข้าเกาะกุมใจผู้คน ต่างร่ำลือกันต่างๆ นานา ว่าเป็นปีศาจบ้าง แวมไพร์บ้าง จนกระทั่งมีชาวบ้านคนนึงเห็นตัวมันในกลางดึกคืนหนึ่ง เขาเล่าว่ามันกำลังเกาะอยู่บนตัวแพะในความมืดและส่วนที่เค้าคาดว่าเป็นส่วนหัวของมันติดอยู่กับลำคอแพะของเขา ด้วยความตกใจเค้าจึงส่งเสียงดังเพื่อไล่มันไป มันหันมามองเค้าแว่บนึงแล้วก็กระโจนเข้าไปยังทางหลังบ้านแล้วก็หายไปในความมืด ต่อมาตอนเช้าก็ได้มีการชันสูตรซากแพะตัวนั้น ครับ ไม่มีเลือดเหลืออยู่เลย จากนั้นคำว่า El Chupacabra จึงปรากฏขึ้นมา เขาให้การกับตำรวจว่า "มันค่อนข้างมืด แล้วก็ไม่ค่อยแน่ใจในรายละเอียดของมันเท่าไหร่ แต่ว่าเห็นเพียงใบหน้าและดวงตากลมโตเท่าไข่ไก่ที่เป็นสีแดง กับเขี้ยวทั้งสองอันที่มุมปาก" หลังจากเริ่มมีการพบเห็น El Chupacabra เพิ่มมากขึ้นทำให้ชื่อของมันเป็นที่หวาดกลัวสำหรับเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์หรือชาวบ้านแถบ Canovanas ต่อมาในเดือนกันยายน ปี 1995 Miasel Negron แม่บ้านคนหนึ่งได้มีโอกาสเห็น El Chupacabra ในระยะใกล้

เขาเล่าว่า "มันสูงประมาณ 3 - 4 ฟุต มีหนังคล้ายไดโนเสาร์ ดวงตาสีแดงโตของมันฉายประกายจ้าในความมืด เขี้ยวยาวและงอโค้งไปด้านหลัง กำลังทำร้ายพวกแพะอยู่" ต่อมาในเดือนพฤศจิกายนข่าวของ El Chupacabra ก็ยิ่งแพร่สะพัดออกไปอีก Luis Guadalupe หนึ่งในผู้ที่พบกล่าวว่า "มันน่าเกลียดมาก และดูเหมือนว่ามันจะบินได้ด้วยซ้ำ และลิ้นมันยาวยังกับลิ้นงู" บางสันนิษฐานก็ว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากนอกโลก

จากซากของสัตว์ที่เคราะห์ร้ายก็มักจะมีกลิ่นของกำมะถัน (Sulfur) ติดอยู่ด้วยพยานบางคนก็บอกว่าตัวมันมีกลิ่นของกำมะถัน Angel Pulido หนึ่งในผู้พบเห็นกล่าวว่า "มันเหมือนค้างคาวตัวใหญ่ที่ดูเหมือนแม่มด" จากการที่ผู้คนเริ่มพบเจอมันมากขึ้น ก็เริ่มมีการระดมผู้คนเพื่อตามล่าตัวมัน ซึ่งสันนิษฐานกันว่า El Chupacabra อาจจะหลับในตอนกลางวันในถ้ำที่ไหนสักแห่งในหุบเขา หรือไม่ก็ใต้ดิน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะหุบเขาในเปอโตริโกนั้นซับซ้อนและมีความยาวมาก แต่ก็มีชายคนนึงที่ประกาศจะตามล่ามันให้ได้คือนาย Jose Soto นายกเทศมนตรีของเมือง Conavanas และได้รวบรวมสมัครพรรคพวกนำอาสาสมัครเพื่อไปตามล่า El Chupacabra.



นี่แหละครับ โฉมหน้าผู้เคราะห์ร้ายของเรา



ไม่ใช่แต่รายงานการตายลักษณะเดียวกันนี้และรายงานการพบเห็นจะมีแต่ในเปอโตริโกเท่านั้น ทางด้านอเมริกาก็มีรายงานการพบเห็นเจ้าสัตว์ลักษณะนี้เช่นกันใน California ,Teaxas , Miami

การโดนโจมตีครั้งแรกที่มีการบันทึกไว้คือที่ Tuscon, Arizona โดยนาย Billey Nubians เจ้าของซากแพะ 2 ตัวที่โดนทำร้ายจากสัตว์ที่มีลักษณะเหมือนหนูตัวใหญ่ และใน Baja, California ซากสุนัขพร้อมรอยเจาะที่คอก็เป็นอีกหลักฐานหนึ่ง ในปานามา (Panama) ก็มีรายงานลักษณะเดียวกันนี้เช่นกันและคราวนี้หญิงสาวคนหนึ่ง Elizabeth Saaverdra ก็โดนทำร้ายจากเจ้าสิ่งนี้เช่นกัน บางครั้งก็พบว่าอวัยวะของซากสัตว์นั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีรอยฉีกขาด เหมือนตัดเอาไปด้วยแสงเลเซอร์ ไม่เท่าเฉพาะแต่เพียงเท่านี้ ในบราซิล (Brazil) ก็มีการบันทึกของ El Chupacabra อีกเหมือนกันโดยคราวนี้ไม่ใช่รายงานสัตว์ที่โดยทำร้ายแต่เป็นรายงานการตายของเจ้า El Chupacabra นี้ โดยถูกนักตกปลายิงได้ที่ทะเลสาบ และหนึ่งในนั้นได้ตัดส่วนหัวของมันเก็บไว้และได้นำมาออกในรายการทีวีในเวลาต่อมา แต่ก็มีข่าวว่ามีคนจับตัว El Chupacabra เป็นๆ ไว้ได้แต่ไม่ได้นำมาเผยแพร่ทางโทรทัศน์ เพียงแต่ยอมให้นักสำรวจของอเมริกาตรวจดูได้




จากคำบอกเล่าของพยานผู้รู้เห็น จากซากสัตว์ที่โดยทำร้าย และจากซากของ Chupacabra นั้นก็มีผู้ออกความเห็นมากมาย บ้างก็ว่าเป็นสัตว์สายพันธุ์ใหม่ หรืออาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเสือดำ รวมไปถึงไดโนเสาร์และเอเลี่ยน บ้างก็ว่าเป็นสิ่งที่มากับจานบินต่างดาว คุณล่ะคิดอย่างไร ???

สึจิโนะโกะ สัตวลึกลับของญี่ปุ่น

{:5_206:}  สึจิโนะโกะ สัตวลึกลับของญี่ปุ่น

ถ้าหากพูดถึงสัตว์ประหลาดลึกลับของญี่ปุ่นหลายคนคงนึกถึงเจ้าตัว “สึจิโนะโกะ” ซึ่งเป็นสัตว์ลึกลับชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายงู ในประเทศญี่ปุ่นมีตำนานที่เกี่ยวข้องกับสึจิโนะโกะ มากมายมีมาตั้งแต่สมัยโบราณโดยเจ้า สึจิโนะโกะ มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นด้วย ตั้งแต่ในสมัยยุคโจมง เมื่อ 10,000 ปีก่อน ในสารานุกรมเล่มแรกของญี่ปุ่นก็ได้มีการบันทึกเรื่องราวของสึจิโนะโกะไว้ด้วย เรียกว่า เยตสุ เฮบิ นอกจากนี้ยังมีการนำเจ้าสึจิโนะโกะไปใช้ในการ์ตูนอย่างแพร่หลายและมีการเรียกชื่อ สึจิโนะโกะ แตกต่างกันไปในบางพื้นที่ ในคันไซและเกาะชิโกะกุ เรียกตัวสึจิโนโกะว่า บะชิเฮะบิ ในประเทศญี่ปุ่น มีการอ้างว่ามีการพบเห็น สึจิโนะโกะมีอยู่ทั่วประเทศ เรามาดูลักษณะของเจ้าสึจิโนะโกะกันดีกว่า ตามคำบอกเล่าของผู้ที่อ้างว่าเคยพบเห็น สึจิโนะโกะ มีรูปร่างยาวคล้ายงู ส่วนหัวมีขนาดใหญ่ทรงสามเหลียม ลำตัวอ้วนสั้น ท้องแบน ปลายหางแหลมยาวออกมา ความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ถึง 80 เซนติเมตร มีลวดลายคล้ายงู และมีพิษ แต่มีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว บ้างก็กล่าวว่าสามารถกระโดดได้ไกลหลายเมตรด้วย มีเสียงร้องคล้ายแมวคราง บ้างก็ว่าเคยเห็นมันงับหางตัวเองแล้วเคลื่อนที่ไปข้าง ๆ เหมือนท่อนไม้กลิ้ง





{:5_206:}  สันนิษฐาน
ตามสันนิษฐานที่มีการตั้งเอาไว้ สึจิโนะโกะอาจเป็นงูชนิดใหม่ที่เรายังไม่รู้จักชนิดหนึ่งแต่หลักฐานอื่นๆเพื่อพิสูจน์การมีอยู่ของมันไม่เพียงพอกับความต้องการวิทยาศาสตร์ ที่จะพอพิสูจน์ว่ามันมีจริง หรือสันนิษฐานอีกอย่างหนึ่งคือมันเป็นเพียงงูธรรมดาๆนี้ละ เพียงแค่มันกลืนเหยื่อไปอยู่ในท้องของมันทำให้ท้องมันป่องออกมาแล้วมีคนไปพบเลยทึกทักเอาว่าเป็นสึจิโนะโกะ คงทำนองเดียวกับงูเหลือมที่บ้านเราเมื่อกินเหยื่อเข้าไปอย่างนี้คงต้องเรียกว่าเหลือมโนะโกะ หุ หุ


{:5_206:}  รางวัลนำจับ

โดยในปี 1992 หมู่บ้านชิกูซ่า เสนอรางวัลนำจับเจ้าสึจิโนะโกะสูงกว่า 200 ล้านเยน สำหรับผู้จับสึจิโนะโกะได้ตัวเป็นๆ หรือ 100 ล้านเยน ถ้ามันตายแล้ว ปี1989 เมือง มิคาตะ ได้มีการเสนอรางวัลที่ดิน 330 ตารางเมตร เพื่อใครก็ได้ที่สามารถจับสึจิโนะโกะได้ ในปี 2000 มีการประกาศให้รางวัล 3 - 20 ล้านเยน แก่ผู้ที่สามารถจับสึจิโนะโกะ มาได้  ในปี 2001 ได้มีการจับงูดำขนาดใหญ่และอ้างว่างูตัวนั้นเป็น สึจิโนะโกะ (เข้าตำราย้อมแมวแต่ในกรณีนี้ต้องเรียกว่าย้อมงู) แต่อย่างไรก็ตามผลจนปัจจุบันนี้ก็ไม่มีใครสามารถคว้ารางวัลเหล่าได้เลยซักรายเดียว


{:5_206:}  การพบเห็น

ในปี 2000 นั้นได้มีรายงานการพบเห็นสึจิโนโกะที่ เมืองโยชิ จังหวัดโอกายามา ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2000 โดยคุณตา ฮิเดกิ ทากาชิมา คุณตาฮิเดกิเล่าว่าในขณะที่กำลังดายวัชพืชออกจากสวนก็ได้พบสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายงูมี ลำตัวมันอ้วนสั้น ท้องแบน เลื้อยออกมาจากสวนคุณตาฮิเดกิพยายามจะจับมันจึงหวดมันด้วยเคียวดายหญ้าแต่เจ้าสัตว์ตัวนั้นก็ได้เลื้อยหลบลงลำธารใกล้ๆ แล้วหนีไปได้ แต่ถึงอย่างไรมันก็ได้บาดแผลบาดเจ็บฉกรรจ์ และในอีก 4 วันต่อมา วันที่ 25 พฤษภาคมคุณยาย ฮิเดโกะ ตากาฮิชิ ได้พบงูนอนตายอยู่ข้างลำธารเลยนำมันไปฝัง คุณยายอธิบายลักษณะว่า “ มันมี ลำตัวมันอ้วนสั้น ท้องแบน เห็นชัดว่ามันไม่ใช่งู ”

เมื่อทางเทศบาลเมืองโยชิอิทราบ เรื่อง จึงส่งเจ้าหน้าที่มาสอบสวนไปที่ฝังเจ้าสึจิโนโกะเอาไว้ และขุดซากไปตรวจสอบ โดยซากของสัตว์ที่คิดว่าเป็นสึจิโนโกะถูกส่งไปยังมหาวิทยาลัยการแพทย์คาวาซากิเพื่อทำการตรวจสอบโดยผู้ตรวจสอบคือ อาจารย์ คูนิยาชิ ซาโต้ อาจารย์ผู้วิเคราะห์สัตว์เลื้อยคลาน หลังจากตรวจสอบเสร็จอาจารย์ซาโต้ไม่ได้กล่าวว่ามันคืออะไรเพียงแต่พูดว่ามันเป็นสัตว์ประเภทงูและ ในอีก1 เดือนต่อมา คุณยาย มิสึโกะ อะริมา ก็ได้พบเห็นสึจิโนโกะในขณะที่มันกำลังข้ามแม่น้ำในตอนเช้าของวันที่ 15 มิถุนายน




คุณยายมิสึโกะเล่าว่า “ ฉันรู้สึกประหลาดใจ ฉันพยายามคิดว่ามันคือตัวอะไรแต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรมันมีรูปร่างเหมือนงูลำตัวอ้วนมีขนาดใหญ่ ส่วนหัวกลมดูเหมือนมันกำลังว่ายเพื่อข้ามแม่น้ำ ฉันอาศัยอยู่ที่นี้กว่า 80 ปีแต่ฉันไม่เคยเห็นตัวอะไรแบบนี้ในชีวิตของฉัน " คุณยายมิสึโกะ กล่าว ตั้งแต่ฟังพยานที่พบเห็นถึงตอนนี้เราก็ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเจ้าสึจิโนะโกะมีจริงหรือไม่..

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

ค้นหาชีวิตนอกพิภพ #2

จักรวาลเริ่มจากไฮโดรเจน --> ไฮโดรเจน สร้างดาวฤกษ์ --> ดาวฤกษ์ได้ก่อกำเนิดธาตุต่าง ๆ ที่เราใช้ดำรงชีวิต ออกซิเจนในอากาศ แคลเซียมในกระดูก ทุก ๆ สิ่งมาจากดวงดาว


ทางด้านการกำเนิดระบบสุริยะ
จากบริเวณใจกลาง ทั้งดาวฤกษ์ และโลก ที่กำลังกำเนิดขึ้น จะมีกลุ่มหมอกมหึมา ห่อหุ้มละอองดวงดาวเอาไว้ และในสภาวะเช่นนี้ ทำให้ สุริยะจักรวาลของเราได้เกิดมา ครับ ทุกอย่างพร้อม รอแต่เวลาครับ จากกลุ่มก๊าซก่อตัวรวมกันเป็นกระจุกน้อย และใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งกระจุกใหญ่ขึ้น มันก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น กลายเป็นหมู่ของกระจุกดาว มีมวลมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่างก็หมุนตัวรอบกันและกัน ที่บริเวณใจกลางของกลุ่ม กลุ่มหมอกเมฆของก๊าซ และกลุ่มควัน เริ่มก่อรูปร่างขึ้น ลูกกลมขยายใหญ่ขึ้น มันดูดทุกสิ่งทุกอย่าง และมันก็ร้อนขึ้นทุกที จนกระทั่งดาวฤกษ์ชุดใหม่ถือกำเนิด จนกลายเป็นดาวอาทิตย์ในที่สุดครับ กลุ่มก๊าซและฝุ่นละอองที่เหลือถูกเหวี่ยงออกมา และกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยใหญ่ มันดูดสิ่งที่ใกล้เคียงอีกหลายล้านปี จนกลายเป็นดาวเคราะห์ รวมถึงโลกเราด้วย

อันที่จริง เราก็มีแรงดึงดูดครับ แต่ ตัวเรานั้นเบาซะเหลือเกิน จนไม่รู้สึกว่ามีแรงดึงดูด ถ้ามือประกบใกล้ ๆ กัน มันก็จะมีแรงดึงดูดซึ่งกันและกันอยู่ แต่เราไม่รู้สึกครับ ซึ่งต่างจากโลก และพลังมหาศาลของดวงอาทิตย์ ที่ต่างดึงดูดซึ่งกันและกัน

กำเนิดโลกเสร็จแล้วครับ แล้วตัวเราหละ มาจากไหนกัน
มีหลายความคิดเช่นกัน ก็คือ ในท้องทะเล ก้อนหินแร่ธาตุ รวมถึงชีวิตจากจักวาลอันไกลโพ้น และมาที่นี่ โดยติดมากับดาวหาง ก็เป็นได้ครับ นี่อาจเป็นทฤษฏีที่โลดโผนที่สุด นักวิทยาศาสตร์หลายคนคิดว่าชีวิต บนโลกเกิดขึ้นเร็วมาก จนอาจเป็นไปได้ว่าที่แท้มัน มาจากที่อื่น ดาวหาง อาจกำคำตอบเอาไว้ ด้วยก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมานี้ มีชีวิตขั้นพื้นฐานอาศัยอยู่ ชีวิตก็สามารถแพร่กระจายไปทั่วจักรวาล

หากทฤษฏีนี้เป็นจริง ดาวหางพุ่งจากอวกาศ มุ่งหน้าสู่โลก ที่ซึ่งอุดมสมบูรณ์ มีทะเลและชั้นบรรยากาศ เมื่อตกสู่พื้นโลก บรรพบุรุษต่างดาวของเรา กระเด็นออกไปทั่วพื้นพิภพ จากดาวเคราะห์ซึ่งไร้ชีวิต ก็เปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล

ทุกสิ่งที่ก่อมาเป็นเรา มาจากดาวดวงอื่น กว่าหมื่นล้านปีมาแล้วครับ แล้วถ้ามีคนถามว่าคุณมาจากไหน บอกไปเลยนะครับว่า คุณมาจากนอกอวกาศ เกิดจากใจกลางของดวงดาว

ในจักรวาลมีดวงดาวหลายล้านดวง มีดาวเคราะห์อีกพัน ๆ ล้านดวง มียาวนานกว่า 12,000 ล้านปีมาแล้ว ครับ และถ้าชีวิตเกิดขึ้นบนโลกนี้ได้ มันก็ต้องเกิดกับดาวดวงอื่นได้ จริงไหมครับ ในห้วงอวกาศนี้ ยังมีชีวิตอื่นอีกหรือไม่ มีเพียงเราที่เดียวดายอย่างงั้นหรือ ในจักวาลอันเวิงว้าง นี้

เราต่างก็สงสัยกันว่า เราอยู่เดียวดายในจักรวาลอย่างนั้นเหรอครับ หรือว่าสักวันหนึ่งเราอาจพบกับ มนุษย์ต่างดาว จากจักรวาลอันไพศาลนี้ จะมีเพียงเราบนโลกเพียงลำพัง แต่เราก็รู้ดีอยู่แล้วว่า มันไม่มีแต่เรา โลกเรา นี้ มีชีวิตอื่น มากกว่า 10 ล้านชนิด เฉพาะบนโลกเท่านั้น นะครับ บ้างก็ธรรมดา บ้างก็ แสนประหลาด แล้วดาวเคราะห์ดวงอื่นหละ มีสิ่งมีชีวิตที่ใคร่รู้ เหมือนพวกเรา บ้างหรือครับ

และถ้าชีวิตที่ทรงปัญญาเกิดบนโลกนี้ได้ แล้วที่อื่นจะไม่ได้เหรอครับ จากจำนวนของดวงดาวแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะคำนวณจำนวนดาวฤกษ์ทั้งหมดครับ จุดสว่าง แต่ละจุดนั้น อาจเป็นหนึ่งแกแลกซี มีดวงดาวนับพันล้านดวงอัดแน่นอยู่แต่ละจุด ถ้าเรา หยิบทรายมาหนึ่งกำมือ จะมีทรายสักกี่เม็ดกัน เป็นหมื่น เป็นแสน และทั้งหาดจะมีเม็ดทรายมากเท่าไหร่ แม้จำนวนจะมากมายมหาศาลเพียงใด และถ้าทรายแต่ละเม็ดเท่ากับดาวฤกษ์ ในอวกาศแล้ว ดาวฤกษ์ต่อเม็ดทรายแต่ละเม็ด ก็เหมือนกับดวงอาทิตย์ครับ และที่ใดมีดาวฤกษ์ที่นั่นย่อมมีดาวเคราะห์ครับ และที่ใดมีดาวเคราะห์ ที่นั่นก็อาจมีชีวิตด้วย และมันเกิดขึ้นแล้วที่นี่ครับ โลกเรานี่ไงครับ

ถ้าสิ่งมีชีวิต ซึ่งทรงภูมิปัญญา จากนอกโลกติดต่อมา แต่การจะได้ยินนั้น ต้องอาศัย หู ต้องมีหูที่ใหญ่มาก และนี่คือหูที่ใหญ่ที่สุดในโลก



นักวิทยาศาสตร์ทำงานเพื่อตอบคำถามนี้ ที่ว่าเราอยู่โดดเดี่ยวในจักรวาลจริงหรือไม่ ในโครงการ เซติ ภารกิจ ก็คือ ตรวจสอบดวงดาวในท้องฟ้า เพื่อหาสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาว ซึ่งยังคงดำเนินงานมาจนถึงปัจจุบัน นักดาราศาสตร์จากเซติ มีหน้าที่ฟังรับสัญญาณจากนอกโลก ผ่านวิทยุสื่อสาร คลื่นวิทยุตัดผ่านกลุ่มก๊าซ วิทยุเป็นสื่อที่ ใช้งานง่าย สำหรับเรา และพวกเขาด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม เขาก็คงใช้คลื่นวิทยุด้วยเป็นแน่

อวกาศมีดินแดนต่าง ๆ นับไม่ถ้วน จำนวนดาวฤกษ์ที่มีอยู่มหาศาล ทำให้เชื่อได้ยากที่จะทำให้โลกใบนี้ จะเป็นเพียงที่เดียวที่มีสิ่งมีชีวิต ที่รู้จักพัฒนาสร้างวิทยาการสื่อสาร



หลังจาก 10 ปีแรกของการค้นหา เซติ ยังคงไม่มีผลงานปรากฏ แต่ในปี 1977 บางสิ่งก็เกิดขึ้น คอมพิวเตอร์ตรวจพบสิ่งที่พวกเขาเฝ้าคอยมานาน คลื่นวิทยุที่ส่งมาจากดาวดวงอื่น จะใช่สัญญาณจากมนุษย์ต่างดาวหรือไม่ และเมื่อพวกเขาเตรียมอุปกรณ์อื่นมาศึกษา สัญญาณนั้นก็หายไป และยังไม่สามารถอธิบายได้ มาจนถึงทุกวันนี้




การเสาะหาอันยาวนาน อาจทำให้หลาย ๆ คนถอดใจ ถ้าเราทำโครงการนี้ อีก 100 ปีแล้วไม่เจออะไร แม้ จะคนทำงานจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ โครงการนี้ ยังคงอยู่ แม้ว่า เซติ จะเชื่อมั่นเพียงใด แต่การสืบหามนุษย์ต่างดาว ต้องอาศัยเวลา เพราะดวงดาวที่เราค้นหานั้น มีอยู่มากมาย

ปัญหาก็คือ แกแลกซี่ มันใหญ่โตมากครับ ดวงดาวมากมาย การเสาะหามนุษย์ต่างดาว มันยากกว่างมเข็มในมหาสมุทรด้วยซ้ำ แต่ความหวังคงไม่ริบหรี่นัก โดยเริ่มจากค้นหาสถานที่ ที่พวกเขาอาจอาศัยอยู่

ที่ฮาวาย มีกล้องโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก นักวิทยาศาสตร์มาที่นี่ เพื่อค้นหาสิ่งที่ไม่เคยรู้ ที่พวกเขายังไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ นั่นคือดวงดาวที่โคจรอยู่รอดวงดาวอันไกลโพ้น

ค้นหาชีวิตนอกพิภพ


คุณคิดอย่างไงหรือครับ ว่า ทั้ง คุณ ผม และ ทุกคน ล้วนมาจากอวกาศ ฟังดูพิลึกนะครับ แต่นี่เป็นเรื่องจริง เราทุกคนเป็นเอเลี่ยน เมื่อกาลละครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเรา นั้น มาจากต่างดาวครับ

เราอยู่ในซอกมุมเล็ก ๆ ในจักรวาล เท่านั้น ระบบสุริยะ ใจกลางคือดวงอาทิตย์ โลกเป็นบริวาร ในนั้น ดาวเคราะห์นี้ คือสถานที่แห่งเดียว ที่เรารู้จัก และมีสภาวะที่เอื้อต่อชีวิต มีอากาศหายใจ ท้องทะเล อุดมสมบูรณ์ ดาวเคราะห์ดวงนี้มีชีวิต

แล้วทุกอย่างมาจากไหนกัน ผม คุณ ดวงอาทิตย์ ทุกสิ่งเกิดมาล้วนเป็นปริศนากัน ทุกสิ่งถือกำเนิดจากบิ๊กแบงค์



บิ๊กแบงค์ ก่อให้เกิดจักรวาลขึ้นเป็นจักรวาลที่มีกลุ่มหมอกขนาดใหญ่และก๊าซไฮโดรเจน แล้วสิ่งนี้มันจะสร้างโลกขึ้นมาได้หรือครับ จากการก่อของก๊าซไฮโดรเจน นำมาสู่การกำเนิดของสิ่งมีชีวิต ตั้งแต่ แคลเซียมในกระดูก ก็ดี ออกซิเจนที่หายใจก็ดี ทุกอย่างเริ่มจากที่จักรวาลครับ การกำเนิดดวงดาว นานหลายล้านปีที่ทั้งจักรวาล ปราศจากสรรพสิ่ง มีเพียงหมอกไฮโดรเจน กลุ่มมหึมา เท่านั้น ครับ ที่เกิดจากบิ๊กแบงค์ คลื่นความสั่นสะเทือนจากบิ๊กแบงค์ สะท้อนกลับไปกลับมาในกลุ่มหมอก ทำให้เกิดลุกคลื่น เมื่อก๊าซไฮโดรเจน ก่อตัวเป็นวังวนใหญ่ ดึงเอาเมฆหมอกเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มันอัดตัวแน่นเข้า และหมุนเร็วขึ้นทุกที จนกลายเป็นลูกบอลก๊าซลูกใหญ่



และมันยิ่งขยายตัวออกไป บอลลูกมหึมานี้ยิ่งทวีความร้อนสูงขึ้น ในที่สุด ดวงดาวชุดแรกก็ถือกำเนิดขึ้น แต่มันยังไม่มีชีวิตครับ แล้วอะไรที่มันเปลี่ยนดาวให้กลายเป็นเรา ?

การก่อตัวอย่างรุนแรงของดาวฤกษ์ก็คือ ระเบิดไฮโดรเจน หรือซุปเปอร์บอมบ์ อาวุธอันทรงอนุภาพที่สุดในโลกนี้ ซึ่งเป็นอนุภาคแบบเดี่ยวกับดาวฤกษ์ ลูกบอลไฮโดรเจนที่ลูกโชนเป็นดาวฤกษ์ มีขนาดใหญ่นับล้านไมล์ ดาวฤกษ์แต่ละดวงนั้น มันจะปลดปล่อยพลังงานจำนวนมาก แน่นอนมากกว่า ระเบิดไฮโดรเจน บนโลกนับล้านลูก ครับ และนอกจากอำนาจการทำลายล้างแล้ว ณ ใจกลาง ปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของดาวฤกษ์ ก็มีกระบวนสร้างสรรค์ด้วยเช่นกัน

Puma Punku วิหารของพระเจ้าจากอวกาศ

Puma Punku เป็นซากโบราณสถานในประเทศโบลิเวีย ชื่อนี้ออกจะไม่เป็นที่คุ้นเคยของคนในวงการอื่นนอกเสียจากนักโบราณคดี หรือนักจานผีวิทยา(UFOlogist)เท่านั้น คิดกันบ้างไหมว่าทำไมซากโบราณสถานดังกล่าวถึงได้ดึงดูดใจคนสองกลุ่ม ที่ดูเหมือนอยู่กันคนละขั้วนี้ให้มาสนใจสิ่งเดียวกันได้

โบราณสถานที่ว่าอยู่เยื้องออกไปทางซ้ายของพูมาปันกูปิระมิดในเขตเมืองโบราณเทียฮัวนาโค ใกล้กับทะเลสาปติติคาคา บริเวณนั้นเชื่อกันว่าคือแหล่งอารยธรรมของชนพื้นเมืองก่อนหน้าชาวอินคา นักโบราณคดีให้ข้อสรุปว่าพูมา ปันกูเป็นวิหารหรืออะไรทำนองนั้นที่สะท้อนถึงการบูชาเทพเจ้าแห่งการสร้างสรรค์ของอินคานามเทพวิราโคชา น่าเสียดายที่ไม่มีหลักฐานใดๆสนับสนุนแนวคิดนี้แม้เพียงกระผีกริ้น






ชนพื้นเมืองโบราณจะสร้างที่แห่งนี้ให้กับใครก็พูดยากเพราะไม่มีหลักฐานเหลือให้เห็น ส่วนหลักฐานที่พอจะมีให้เห็นก็ทำให้เกิดคำถามตามมาเหมือนกันว่าคนโบราณสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาได้อย่างไร?

เทียบง่ายๆครับ หินที่ใช้สร้างโบราณสถานมีน้ำหนักเฉลี่ยมากกว่า 200 ตัน บางก้อนหนักถึง 450 ตัน ชาวอินคา(หรือใครก็ตามที่สร้างมัน)เอาหินขึ้นมาบนที่สูงกว่า 13,000 ฟุตกันได้ยังไง สโตนเฮนจ์ยังพออธิบายวิธีการขนหินได้ว่าใช้ไม้เป็นหมอนรอง + ต่อแพล่องมาตามทะเลสาปที่ยาวเหยียด ส่วนภูเขาสูงที่เป็นทำเลของเทียฮัวนาโคนี่ล่ะครับ จะเอาหินขึ้นมายังไง

คำถามที่สำคัญที่สุดเห็นจะอยู่ที่ อารยธรรมอินคาไม่เคยมีการประดิษฐ์ล้อเลื่อน เพราะงั้นเครื่องทุ่นแรงประเภทไหนที่พวกเขาใช้ขนของหนักๆกัน เป็นไปได้อย่างไรว่าชนชาติที่สร้างสิ่งก่อสร้างสุดอลังการจนนับเป็นสุดยอดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกได้นี้ ไม่เคยคิดอุปกรณ์ง่ายๆที่คนโบราณชาติไหนเค้าก็คิดกันได้อย่างล้อและเพลา

ถ้าจะบอกว่าล้อเลื่อนสะดวกสำหรับพื้นราบ ทานโทษเถอะครับ การขนหินหนักหลายร้อยตันขึ้นภูเขาเนี่ย พวกเขาเอาอะไรขนกันไม่ทราบ สร้างกันในป่าที่เป็นที่ราบง่ายกว่าไหม อเมริกาใต้มีที่แบบนี้ออกจะเยอะแยะ

โอเคครับ จะมียักษ์มาช่วยแบกก็ไม่ว่ากัน แต่พอเอาขึ้นมาบนที่ราบยอดเขาได้ พวกเขาเอาอะไรตัดหินกันแน่ และตัดทำนองไหนถึงได้มีเหลี่ยมมุมที่แม่นยำชนิดลงล็อกกันพอดีอย่างกับเกม Tetris ทั้งมุม ฉาก และพื้นตัด ก้อนละหลายร้อยตันนะครับ ไม่ใช่ก้อนเล็กๆอย่างอิฐบล็อค



นอกจากการตัดและขัดผิวหินแกรนิตที่ประณีตแล้ว รอยตัดก็ชวนฉงนว่าอินคาโบราณเค้าเอาอะไรตัด ลองดูรูปเล็กๆด้านล่างนี้ครับ แสดงให้เห็นรอยกรีดลงไปในหินที่กินระยะไม่เกิน 1 cm นั่นคือรอยขวานหินอย่างที่คนโบราณใช้ หรือตัดด้วยเครื่องมือประเภทไหนกัน ใครเรียนวิศวกรรมศาสตร์มาพอจะอธิบายการใช้เครื่องมืออย่างง่ายให้ได้ผลแบบในรูปให้ผมฟังหน่อยสิครับ ไม่ได้ดูถูกสติปัญญาคนโบราณ แต่อยากรู้จริงๆ...



นักจานผีวิทยาเชื่อว่าโบราณสถานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยการนำของพระเจ้าจากอวกาศ ซึ่งด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบพวกเขาสร้างมันไม่เสร็จและทิ้งเอาไว้ให้ประจักษ์แบบนี้ อีกคำอธิบายหนึ่งกล่าวว่า โบราณสถานแห่งนี้อาจเป็นต้นแบบการก่อสร้าง ที่พระเจ้าจากอวกาศทรงประทานเพื่อสอนวิธีปลูกสร้างโบราณสถานแก่อารยธรรมก่อนอินคาก็เป็นได้

Mokele Mbembe สัตว์ลึกลับผู้หยุดสายน้ำ

คราวนี้จะพาไปติดตามเรื่องของสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งหรือสายพันธ์หนึ่ง ซึ่งจะว่าไปมันก็ไม่ใช่สัตว์ประหลาดเสียทีเดียว เอาเป็นว่าเป็นสัตว์ลึกลับที่ยังไม่ปรากฏหลักฐานในการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน หรือว่าแบบชัดเจนละกัน เจ้าสัตว์ลึกลับนี้ก็คือ "Mokele Mbembe" หรือในความหมายว่า "ผู้หยุดสายน้ำ"

ตามหลักฐานบันทึกการมีอยู่ (ถ้ามันมีตัวตนอยู่จริง) ของเจ้าสัตว์ชนิดนี้ตามที่ทางชาวตะวันตกเค้าได้บันทึกเอาไว้เป็นครั้งแรกนั้นก็เมือเมื่อปี ค.ศ.1776 น่ะครับ เป็นบันทึกของบาทหลวงชาวฝรั่งคนหนึ่งที่ชื่อ Lievain Proyart ซึ่งได้บันทึกสถานที่ที่เห็นเจ้า Mokele Mbembe เอาไว้ว่าอยู่ในประเทศคองโกทวีปแอฟริกา ซึ่งได้เจอโดยบังเอิญตอนท่านเข้าไปเผยแพร่ศาสนาแก่ชนพื้นเมืองที่นั่น ตามบันทึกของบาทหลวงผู้นี้ได้บรรยายลักษณะของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ว่า ไม่เหมือนกับบรรดาสรรพสัตว์ที่ท่านเคยเห็นมาก่อน และดูเหมือนมีลักษณะคล้ายไดโนเสาร์ในยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์มากกว่า และได้บรรยายถึงลักษณะของรอยเท้าที่อยู่บนดินที่มีรอยกรงเล็บของมันเอาไว้ด้วยว่ามีขนาด 3 ฟุตที่วัดโดยรอบ ก็นับว่าเป็นจุดกำเนิดให้กับเรื่องเล่าขานจากสัตว์ลึกลับที่คองโกเลยทีเดียว ต่อมาในปี ค.ศ.1909 นาย Paul Gratz ก็ได้บันทึกเรื่องราวถึงลักษณะของเจ้าสัตว์นี้เช่นกันเมื่อเขาได้เห็นมันเข้า "มันอาจจะดูคล้ายกับจระเข้ตัวโตมากแต่ว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน ผิวหนังของมันไม่มีเกล็ดเลยและเท้าก็มีกรงเล็บอยู่ทั้งสี่ข้าง" ซึ่ง Paul เล่าว่าได้เห็นมันขณะที่มันว่ายน้ำอยู่ในบึงที่ใกล้กับทะเลสาบ Bangweulu ที่ประเทศแซมเบีย (Zambia) ซึ่งเขาตั้งชื่อเจ้าสัตว์ตัวนี้ว่า nsanga



ต่อมาในปีเดียวกันนักธรรมชาติวิทยา Carl Hagenbeck ได้มาทำการสำรวจพื้นที่นี้จากคำบอกเล่าของชาวเยอรมัน Hans Schomburgh และพรานชาวอังกฤษ Joseph Menges ว่าอาจจะมีไดโนเสาร์หรือบรอนโตเซารัสอาศัยอยู่ที่นี่ ด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยในสมัยนั้นพร้อมด้วยผู้ช่วย และเพื่อนที่เป็นนักธรรมชาติวิทยาด้วยกัน จากคำบอกเล่าของพรานกล่าวลักษณะสัตว์นี้ว่า "มีรูปร่างใหญ่โต รูปร่างเหมือนครึ่งช้างครึ่งมังกร อาศัยอยู่ในบึง" แต่ทว่า Hagenbeck ก็ต้องล้มเลิกการสำรวจครั้งนี้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากปัญหาของชนพื้นเมืองที่ไม่เป็นมิตร และบรรดาโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิดของที่นั่น บางกระแสว่ามันอาจจะเป็นเพียงแค่ฮิปโปโปเตมัสก็ได้

Hans Schomburgh ยังเล่าถึงเรื่องราวอีกว่ายังมีสัตว์ประหลาดที่อยู่บึง Dilolo อีกหรือที่ชนพื้นเมืองเรียกมันว่า "Chimpekwe" ต่อมาในปี ค.ศ.1913 ผู้กอง Freiherr von Stein ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้รายงานบันทึกเรื่องราวของสัตว์แปลกประหลาดนี้เอาไว้เช่นกัน เนื่องด้วยเขาถูกส่งไปสำรวจที่ประเทศ Cameroon โดยรัฐบาลประเทศเยอรมัน ในรายงานของเขากล่าวว่าได้พบมันหลายครั้งที่แม่น้ำ Ubangi, Sanga, และ Ikelemba ในขณะที่ทำการสำรวจภูมิประเทศอยู่ และได้บรรยายถึงลักษณะของมันเอาไว้ว่า "มันมีผิวหนังที่เรียบเป็นมันสีเทาค่อนไปทางน้ำตาล และตัวโตประมาณช้างหรือเล็กกว่านั้นเล็กน้อย คอยาวและมีฟันอยู่ซี่เดียวแต่ว่ายาวมาก หางดูเหมือนจระเข้ ขณะที่ผมดูเหมือนว่ามันกำลังออกหาอาหารอยู่" นอกจากนั้นเขายังได้พบมันอีกที่แม่น้ำ Scombo ขณะที่มันกำลังกินอาหารที่เป็นผักหรือหญ้าอยู่ ก็เป็นรายงานการพบเห็นของผู้กองคนนี้น่ะนะครับ



มาต่อกันที่ปี ค.ศ.1920 ในปีนี้ข่าวของเจ้า Mokele Mbembe ก็ได้กระจายเพิ่มมากขึ้นและมีการตั้งคณะออกค้นหามันกันอย่างมากมาย เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของเจ้าสัตว์ตัวนี้หรือชนิดนี้กันเลยทีเดียว จนถึงขนาดมีการตั้งสมาคมขึ้นมาเพื่อค้นหาโดยเฉพาะก็มี รวมไปถึงข่าวลือและรายงานการพบเห็นปลอมก็ออกมาอย่างมากมายเช่นกัน แต่ก็เหมือนเดิมครับยังไม่มีข่าวหรือว่าหลักฐานอะไรเพิ่มเติมมากไปกว่ารายงานการพบเห็น และหลายคณะที่ออกค้นหาก็ได้มีการยอมแพ้และล้มเลิกไปตามๆ กัน จนกระทั่งแทบจะลืมเรื่องราวของมันไปจนกระทั่งในปี ค.ศ.1948 เมื่อนักสัตววิทยา Ivan T. Sanderson ได้เขียนรายงานออกมาอีกครั้ง เกี่ยวกับการตามรอยสัตว์ที่ไม่สามารถระบุชนิดได้ที่มีลักษณะคล้ายไดโนเสาร์ หรือก็คือเจ้า Mokele Mbembe นั่นเอง ทำให้มีการจุดประกายในการออกตามหากันขึ้นมาอีกครั้ง



ต่อมาในปี ค.ศ.1960 ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลื้อยคลาน James H. Powell Jr. ก็มีความสนใจในตัวเจ้า Mokele Mbembe เช่นกัน และเริ่มออกค้นหาครั้งแรกในปี 1972 และครั้งต่อมาในปี 1976 ก็ได้หลักฐานและรูปถ่ายของร่องรอยของมันมากขึ้น และกับการสำรวจอีกครั้งในปี 1980 คราวนี้มีนักสัตววิทยา Roy P. Mackal เดินทางไปด้วยและได้พบรายงานของการพบเห็นและข้อมูลอย่างมากมายที่บริเวณทะเลสาบ Tele บางรายงานกล่าวว่ามันมีขนาดความยาวจากคอหางประมาณ 25 -30 ฟุต ผิวสีน้ำตาลแก่ หรือบางรายงานกล่าวว่าเห็นหงอนกับแนวขนที่หลังของมันด้วย และรายงานอีกเป็นพันฉบับที่กล่าวว่า Mokele Mbembe นั้นถูกฆ่าตายไปเรียบร้อยแล้วโดยชนพื้นเมืองที่นั่น และได้นำเอาเนื้อของมันมาแบ่งกินกัน แต่ผู้ที่กินเนื้อก็ตายเรียบไปด้วย (ซึ่งเรื่องการการตายของ Mokele Mbembe โดยชนพื้นเมืองฆ่านั้นตรงนี้มีรายงานและจดหมายรวมไปถึงข้อมูลจากชาวเผ่าพื้นเมืองได้บันทึกเอาไว้ด้วย ถ้าสนใจรายละเอียดไป Post บอกไว้ที่ Board ละกัน ผมจะนำเสนอให้อีกที)



ในการออกค้นหาครั้งต่อมาในปี 1981 คราวนี้ได้ระดมเหล่านักวิชาการจากหลายสาขาที่มีความชำนาญมารวมกันทั้งนักธรรมชาติวิทยา นักสัตววิทยา ผู้ชำนาญด้านพื้นที่และภูมิประเทศรวมไปถึงวิศวกรที่มีความเชื่อในการมีตัวตนอยู่ของเจ้าสัตว์ชนิดนี้มารวมกัน คราวนี้ความหวังของพวกเขาดูจะใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจากการพวกเขาที่ได้ยินรายงานการพบเห็นเกี่ยวกับมันในครั้งล่าสุด ที่มีการพบร่องรอยของสัตว์ตัวโตที่หลุดไปยังแม่น้ำในรัฐ Epena และพบรอยเท้ามากมายและรอยย่ำเป็นทางเดินบนแปลงผักของมันอย่างชัดเจน ทั้งยังชาวบ้านในละแวกนั้นได้ยินเสียงคำรามหรือเสียงร้องจากสัตว์ที่พวกเขาไม่รู้จัก ชาวท้องถิ่นหลายคนอ้างว่า เห็นตัวของมันขณะที่มันกำลังเดินออกจากบริเวณหมู่บ้านลงแม่น้ำไปอีกด้วย และคาดกันว่าขนาดตัวของมันน่าจะยาวประมาณ 30 -35 ฟุต จากหัวถึงหาง แต่ทว่าเป็นน่าเสียดายที่การออกค้นหาครั้งสำคัญนี้ไม่ประสบความสำเร็จในการถ่ายหรือจับตัวเจ้าสัตว์ลึกลับมาได้ ซึ่งก็เป็นที่ผิดหวังของบรรดาผู้ที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อที่จะยลโฉมเจ้า Mokele Mbembe กันอย่างมาก ในตอนนี้อาจเป็นไปได้ว่า มันอาจโดนฆ่าตายไปก่อนหน้าที่คณะสำรวจนี้จะเข้าไปเรียบร้อยแล้วจากชาวเผ่าพื้นเมืองดังที่กล่าวไปในตอนต้น ในกรณีที่มันมีหลงเหลืออยู่ตัวเดียว



แต่ถ้าในกรณีที่มันมีอยู่หลายตัวก็อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งขอบเขตและความสามารถในการสำรวจอาจจะถูกกำจัดด้วยหลายๆ สิ่ง เช่น สภาพภูมิประเทศ สภาพอากาศ ความสามารถในการค้นหาหรือของเหล่าลูกทีม ชนพื้นเมือง รวมไปถึงบรรดาโรคภัยในป่าต่างๆ ก็อาจจะทำให้ประสิทธิภาพในการออกติดตามหา Mokele Mbembe มีไม่เต็มที่เท่าที่ควรก็เลยไม่สามารถหาหลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอันกว่านี้ออกมาได้ ซึ่งหลังจากนั้นก็แทบจะไม่มีคณะออกตามหา ข่าวคราวหรือว่ารายงานของเจ้าสัตว์ชนิดนี้ออกมาอีกเท่าไหร่ ซึ่งเวลาผ่านนานไปก็เหลือแค่เพียงเรื่องราวของสัตว์ลึกลับ ลักษณะคล้ายกับไดโนเสาร์บรอนโตเซารัสที่อาศัยอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำในคองโก เป็นตำนานเล่าขานถึงการมีตัวตนของ Mokele Mbembe สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน