วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

Saint Seiya The Lost Legend

ปฐมกาลณ จุดเริ่มต้นของกาลเวลาจักรวาลยังคงว่างเปล่าปราศจากสรรพสิ่ง จนกระทั่งเวลาผ่านไปเนิ่นนานการระเบิดครั้งใหญ่ที่เรียกว่า Big Bang ได้เกิดขึ้น ถือเป็นจุดกำเนิดของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล

เมื่อเวลาล่วงเลยไป Big Will สัญลักษณ์แห่งจิตจักรวาลได้ก่อปาฎิหารย์ขึ้นบนโลก โดยแผ่พลังงานที่เรียกว่าคอสโม่อันเป็นพลังแห่งจักรวาลซึ่งส่งผลให้เกิดจิตวิญญาณขึ้นในทุกสรรพสิ่งที่มันสัมผัส พลังงานแห่งจักรวาลอันได้มาจากดวงดาวในห้วงอวกาศนั้น เป็นคำอธิบายได้ว่าเหตุใดชะตามนุษย์จึงสัมพันธ์กับดวงดาวอย่างแนบแน่น จิตวิญญาณที่สามารถสื่อสารกับ Big Will ได้นั้นเรียกกันว่าเทพเจ้า อาจกล่าวได้ว่าแม้แต่มนุษย์เองหากรู้จักที่จะสื่อสารกับ Big Will เพื่อดึงพลังคอสโมจากห้วงจักรวาลได้ มนุษย์นั้นก็จัดอยู่ในระดับใกล้เคียงเทพเจ้าเลยทีเดียว



ยุคสมัยของปวงเทพ
อาจกล่าวได้ว่าบรรพบุรุษแห่งเทพเจ้าเป็นวงศ์วานเดียวกับมนุษย์ มีเทพเพียงสามองค์เท่านั้นที่ถือว่าเป็นเทพอรูปหรือเป็นจิตวิญญาณแห่งจักรวาลที่แท้ เทพทั้งสามองค์นั้นได้แก่ มหามารดาไกอา, บิดรแห่งท้องนภา ยูเรนอส และวิญญาณแห่งห้วงสมุทร พอนธอส (Gaia, Uranos, Ponthos) มนุษย์สามคนแรกที่สามารถเข้าถึงจิตวิญญาณแห่ง Big Will ได้แก่ เซอุส โปเซดอน และเฮดีส ทั้งสามคนได้รับการสักการะให้เป็นต้นตระกูลแห่งเทพ ปกครองโลกมนุษย์ โลกใต้สมุทร และโลกแห่งความตายตามลำดับ เทพทั้งสามกลายเป็นเทพเหนือเทพเพราะมีพลังแห่ง Big Will หรือที่มนุษย์เรียกกันว่าสัมผัสที่ 9 (ninth sense) ซึ่งเทพปกติจะมีสัมผัสถึงระดับที่แปดเท่านั้น Eighth sense มีคำเรียกว่าอารายาชิกิ ส่วนมนุษย์ที่สามารถผนึกพลังคอสโมได้ถึงขั้นนั้นจะมีสัมผัสอยู่ที่ระดับ สัมผัสที่เจ็ด (seventh sense) แต่ก็มีบ้างที่มนุษย์บางคนสามารถเรียนรู้สัมผัสที่แปดหรืออารายาชิกิที่ สามารถทำให้พวกเขาก้าวสู่โลกแห่งความตายได้ทั้งที่ยังมีชีวิต

ด้วยพลังของ Big Will ทำให้จิตวิญญาณของปวงเทพคงความอมตะ แต่ร่างกายยังคงเสื่อมถอยตามวัฏจักรของธรรมชาติ ดังนั้นปวงเทพจึงต้องใช้วิธีกลับชาติ(reincarnate)มาเกิดเป็นยุคๆ (เช่น อาธีนาที่กลับชาติมาเกิดทุก 250 ปี) เติบโตในร่างมนุษย์และอาศัยการผนึกจิตเพื่อให้เข้าถึง Big Will อีกครั้ง เทพบางองค์ที่กลับชาติมาเกิดจะเข้าถึงความทรงจำเมื่อครั้งเป็นเทพได้ก็ต่อเมื่อเวลาอันควรมาถึง คิโด ซาโอริ รู้ว่าตนเองคืออาธีนาเมื่อเติบโตเป็นวัยรุ่น จูเลียน โซโล มหาเศรษฐีผู้กุมเส้นเลือดของเศรษฐกิจแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทราบจากคำบอกเล่าของเทติสว่าตนคือโปเซดอน ราชันย์แห่งนครแอตแลนติส แต่จิตแห่งโปเซดอนที่แท้จริงกลับมาตื่นเอาเมื่อต้องปะทะกับเหล่าบรอนซ์เซ็นต์ที่หน้า เมน เบรดไวน์เนอร์

..มนุษย์อีกผู้หนึ่งที่ควรกล่าวถึงคือชากะ (ซึ่งจริงๆแล้วควรอ่านว่าสักกะ) เขาสืบเชื้อสายจากราชวงศ์ศากยะอันเป็นราชวงศ์เดียวกับพระศากยมุนี หรือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชากะเป็นเซ็นต์คนแรกที่เข้าถึงสัมผัสที่ 8 อารายาชิกิ เป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับสงครามศักดิ์สิทธิ์ดีที่สุดในหมู่เซ็นต์ ดวงตาที่ปิดสนิทรคล้ายเนตรแห่งองค์ศิวะ และนี่เองคือเหตุผลว่าทำผู้คนจึงขนานนามของชากะว่าเป็นมนุษย์ที่ใกล้เคียง เทพเจ้าที่สุด

เทพเจ้า ปกครองโลกมาแสนนาน จนในที่สุดเห็นว่ามนุษย์พร้อมจะวิวัฒน์สั่งสมอารยธรรมได้ด้วยตนเองแล้ว เซอุสจึงหวนสู่อาณาจักแห่งโอลิมปัสพร้อมเหล่าเทพนิกรของตน์ ทิ้งภาระการดูแลโลกให้กับบุตรีนามอาธีนาซึ่งกลับชาติมาเกิดอยู่เป็นวาระๆ



สงครามศักดิ์สิทธิ์

The Holy Wars เป็นการต่อสู้ระหว่างปวงเทพและมนุษย์ใต้สังกัดของตน เทพองค์แรกผู้ก่อสงครามได้แก่โปเซดอนผู้ ตัดสินใจจะรวบโลกมนุษย์เข้าใต้อาณัติการปกครองของแอตแลนติส โปเซดอนมีกองทัพอันเกรียงไกรที่ประกอบด้วยนักรบที่เรียกว่ามารีนเนอร์เป็น จำนวนมาก มารีนเนอร์เหล่านี้กระจายกำลังอยู่ทั่วเจ็ดคาบสมุทรโดยมีแม่ทัพ(General) ทั้งเจ็ดคอยบัญชาการอีกต่อหนึ่ง โปเซดอนประทานเกราะที่เรียกว่าสเกล (Scales) ให้แก่เจเนรัลทั้งเจ็ด โดยเกราะเหล่านี้นอกจากจะสถิตไปด้วยจิตวิญญาณแห่งห้วงสมุทร เช่น คราเกนหรือไซเรนแล้ว ยังเป็นเกราะที่ถูกสร้างจากโลหะ Orichalcum ซึ่งตามตำนานเซเลเนียนกล่าวว่าเป็นโลหะที่อยู่ในอุกกาบาตยักษ์จากดาวเสาร์ ซึ่งเคยพุ่งชนนครแอตแลนติสเมื่อนานมาแล้ว

สงคราม เริ่มต้นขึ้นเมื่ออาธีนาปฏิเสธที่จะยกโลกให้กับโปเซดอน นักรบของเทวีแห่งสงครามกลับพ่ายแพ้เหล่ามารีนเนอร์อย่างง่ายดายเนื่องจากพลา นุภาพของสเกลที่มารีนเนอร์สวมใส่ พวกเขาตายไปทีละคนละคนเหลือเพียงเด็กหนุ่มคนเดียวที่รอดชีวิตจากสงครามมาได้ อาธีนาไม่ต้องการให้นักรบผู้จงรักล้มตายไปมากกว่านี้จึงตัดสินใจมอบเกราะ แห่งเทพให้ โดยเรียกตัวนักปราชญ์จากเลมูเรีย(ทวีปมู)ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางของมหาสมุทร แปซิฟิกมาเข้าเฝ้านางที่แซงจูรี่ นักปราชญ์ชาวมูเสนอให้นางสร้างชุดเกราะที่เรียกว่า Cloth ให้กับนักรบแห่งแซงจูรี่ โดยผู้มีคุณสมบัติสวมชุดเหล่านี้จะถูกขนานนามว่าเซ็นต์ อาธีนาผู้ถือเป็นเทวีแห่งปัญญาได้ออกแบบชุดคลอธด้วยตัวของนางเอง โดยอาศัยแรงบันดาลใจจากกลุ่มดาวบนท้องฟ้าทั้ง 88 กลุ่ม ชุดคลอธแต่ละชุดได้รับพลังจากดาวหลักในแต่ละกลุ่มดาว โดยชุดที่แข็งแกร่งที่สุดถูกออกแบบขึ้นตามกลุ่มดาวทั้ง 12 ราศีนั้นเรียกว่าโกลด์คลอธ เซ็นต์ผู้สวมโกลด์คลอธจะต้องมีราศีเกิดสอดคล้องกับชุดที่สวมอยู่ (ซึ่งภายหลังอีกหลายพันปีเด็กหนุ่มูชื่อเซย์ยาได้รับคลอธนี้ไป หนึ่งเพราะจิตใจที่มุ่งมั่นจะปกป้องอาธีนา สองเขาเกิดราศีเดียวกับเจ้าของคลอธคนเดิมที่ชื่อไอโอลอส นั่นคือราศีธนู)

เพื่อให้คลอธมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าสเกล คลอธแต่ละชุดถูกตีขึ้นจากโลหะ Orichalcum นอกจากนั้นยังผสานเข้ากับ Alloy ประเภท Gammanium อันได้จากละอองดาวที่อาบไปด้วย Big Will และคอสโม เป็นผลให้ชุดคลอธมีจิตวิญญาณของมันเอง นักปราชญ์ชาวมูทำหน้าที่สร้างชุดเกราะให้เหล่าเซ็นต์มาตลอดห้วงสงครามศักดิ์สิทธิ์จนกระทั่งอาณาจักรมูล่มสลายไป เพราะการโจมตีของสเป็คเตอร์กับเทพราชวงศ์ไตตัน(ผู้เกิดจาก Big Bang) ความย่อยยับของมูมีเฮดิสเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง นักปราชญ์ชาวมูมีผู้สืบทอดคนสุดท้ายอยู่ในตำแหน่งของโกลด์เซ็นต์แห่งราศีเมษ และครองตำแหน่ง Saint of Aries ตลอดมา

อาธีนากลับชาติมาเกิดอีกครั้งก่อนเริ่มสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่สอง ผู้นำที่ทำหน้าที่คัดสรรเด็กหนุ่มที่จะเป็นเซ็นต์ให้กับอาธีนาถูกเรียกว่า Pope (ภาษาญี่ปุ่นใช้คำว่าเคียวโก) หรือ Monk-Emperor ที่นอกจากจะทำหน้าที่รับบัญชาของอาธีนามาถ่ายทอดต่อเหล่าเซ็นต์แล้ว ยังทำหน้าที่ปกครองแซงจูรีในช่วงที่อาธีนายังไม่จุติลงมาอีกด้วย

ในที่สุดเหล่าเซ็นต์ก็ชนะสงคราม พวกเขาขับไล่มารีนเนอร์กลับลงสู่ห้วงสมุทร โปเซดอนสดับข่าวความปราชัยอย่างไม่สบอารมณ์ เจ้าสมุทรผู้นี้ได้เรียกมารีนเนอร์ที่เหลืออยู่มารวมพลในวิหารที่แอตแลนติสเพื่อเตรียมตัวโต้กลับ แต่อาธีนาและเซ็นต์อีกแปดคนกลับทะลวงเข้าถึงใจกลางวิหาร โค่นมารีนเนอร์ที่เหลือและทลายวิหารใต้สมุทรเสียราบคาบ เทวีองค์นี้ทำการผนึกวิญญาณของโปเซดอนไว้ที่ขั้วโลกเหนือโดยมีเซ็นต์จำนวนหนึ่งเฝ้าผนึกเอาไว้ ส่วนมารีนเนอร์ที่แตกพ่ายจำนวนหนึ่งได้รวบรวมกำลังที่เหลืออยู่ ทำการสร้างวิหารขึ้นแถบี่แหลมซูนิออนในกรีซ ที่ตั้งของวิหารอยู่ใต้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีหอคอยชื่อ Main Breadwinner เป็นเสาหลัก



ตำนานแห่งดาวตก

ผ่าน ไปเจ็ดยุค อาธีนาสร้างวิหาร 12 แห่งขึ้นบริเวณกรุงเอเธนส์รายล้อมวิหารหลักเอาไว้ บริเวณนี้ถูกขนานนามจากมนุษย์ว่านครศักดิ์สิทธิ์หรือ Sanctuary ซึ่งรุ่งเรืองอยู่ชั่วกาลหนึ่งจนกระทั่งเกิดสงครามระหว่างอาธีนากับพวกยักษ์ (Giant) สงครามระหว่างแซงจูรี่กับ Giants ถูกบันทึกไว้ในนามของ Gigantomachy พวกยักษ์ถูกเซ็นต์พิชิตลงอย่างราบคาบ อาธีนาได้ต่อสู้กับผู้นำของพวกยักษ์ที่ชื่อ Encelade และขังมันเอาไว้ใต้เกาะซิซิลี บางตำนานกล่าวว่า Encelade ยังคงพวยพุ่งลมหายใจอันร้อนแรงของมันออกมาทางปล่องภูเขาไฟเอทนามาจนถึงทุกวันนี้ (ทว่าบันทึกบางเล่มกลับกล่าวว่า ผู้ที่อยู่ใต้ปล่องเอทนาไม่ใช่ Encelade แต่เป็นอสูรร้าย Typhoon ที่ถูกพิชิตโดยมหาเทพเซอุสเมื่อครั้งบรรพกาลต่างหาก)

เมื่อสงครามสงบลง อาธีนากับเหล่าเซ็นต์ถูกคุกคามโดยเทพ Ares ที่มี Hades เจ้าแห่งโลกล่างหนุนหลังอยู่ การต่อสู้เป็นไปอย่างยากลำบากเพราะ Ares ไม่เพียงแข็งแกร่งกว่าอาธีนาเท่านั้น แต่ยังมีกองทัพของ Berserker สี่เหล่าเป็นกองหนุนอีกด้วย อาธีนาคิดยุทธวิธีใหม่เพื่อปราบ Berserker โดยให้เหล่าเซ็นต์ตั้งพยุหะศาสตราที่มาจากคลอธของเซ็นต์ Libra และท้ายที่สุดก็สามารถขับไล่ Ares ให้หนีไปที่ขุมนรกได้ ซึ่งเหตุการณ์นี้ยังความไม่พอใจแก่ Hades เป็นอย่างมาก และถือเป็นชนวนสงครามระหว่างโลกบนกับโลกล่าง ในครั้งนั้นการต่อสู้ระหว่างอาธีนากับเฮดิสไม่ปรากฏผลอย่างเด็ดขาด แต่ตามบันทึกกล่าวว่าเฮดิสได้รับบาดเจ็บเพราะเซ็นต์คนหนึ่งซึ่งกลับชาติมาเกิดเป็น Saint Pegasus ในปัจจุบัน

สันติสุขดำเนินไปอีกหลายศตวรรษ จนกระทั่งเกาะเล็กๆชื่อเดธควีนได้ ถูกค้นพบ เกาะนี้เคยเป็นแนวเขาของทวีปมูมาก่อน ทำเลที่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิกและมีสภาพภูมิอากาศที่ทารุณมาก เกราะดำหรือ Black Cloths ถือกำเนิดขึ้นที่นี่ มันถูกสร้างโดยนักปราชญ์ชาวมูกลุ่มหนึ่ง เป็นชุดที่แข็งแกร่งหากแต่เทียบไม่ได้กับชุดคลอธที่สร้างขึ้นโดยทีมนัก ปราชญ์ของอาธีนา เกาะนี้จึงเป็นสวรรค์ของนักรบที่ไม่สามารถผ่านการทดสอบเพื่อเป็นเซ็นต์ พวกเขาพากันมารับชุดแบล็คคลอธเพื่อเป็นเกราะประจำตัว อาธีนามองนักรบเหล่านี้อย่างไม่วางใจและในที่สุดนางจึงส่งเซ็นต์จำนวนหนึ่ง มาประจำที่เกาะนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้นักรบตกสอบก่อความไม่สงบขึ้น

ต่อมาเกาะนี้กลายเป็นที่กักขังนักโทษที่เป็นเซ็นต์ผู้มีความผิดติดตัว นักโทษจำนวนมากถูกส่งมาจองจำที่เกาะนี้จนกลายเป็นแหล่งสุมหัวของเซ็นต์หัวรุนแรงเป็นจำนวนมาก Guilty พ่อของเอสเมรัลดาและอาจารย์ของอิคคิก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น นักโทษเหล่านั้นถูกสวมหน้ากากเพื่อเป็นการตีตราความผิดที่ตนได้กระทำขึ้น ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ออกจากเกาะ จนกว่าจะทำลายหน้ากากหรือฆ่าเจ้าของหน้ากากคนก่อนลง

นัก ปราชญ์ทรยศแห่งเดธควีนไม่มีความรู้พอที่จะสร้างคลอธสมบูรณ์แบบขึ้นมาได้ จึงได้แต่สร้างคลอธเลียนแบบบรอนซ์คลอธขึ้นมาเท่านั้น พวกเขาทำการสร้างคลอธวิหคเพลิงฟินิกซ์ขึ้นมาหลายครั้ง จนมันกลายเป็นคลอธที่สามารถคืนชีพตนเองได้ และเป็นหนึ่งในชุดคลอธที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย เด็กหนุ่มชื่ออิคคิเป็นคนแรกที่ได้รับชุดฟินิกซ์ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีมนุษย์คนใดสามารถผสานคอสโมของตนให้เข้ากับพลังแห่ง ฟินิกซ์ได้เลย




ก่อนสงครามครั้งสุดท้าย...

ค.ศ. 1743 เฮดิสต้องการหวนคืนสู่โลกเบื้องบนและทำลายมวลมนุษย์ เหล่าเซ็นต์แห่งอาธีนาซึ่งตอนนั้นมี 79 คนจึงรวมกำลังเข้าต่อต้าน แต่เซ็นต์เกือบทั้งหมดที่เข้าร่วมสงครามครั้งนั้นกลับตกตายตามกันกับนักรบทั้ง 108 ตนของเฮดิสที่ถูกเรียกว่า Specters (เกราะของ Specter เรียกว่า Surplices) เซ็นต์ที่รอดชีวิตจากสงครามครั้งนั้นมีเพียง 2 คนคือ Aries Shion และ Libra Dohko

Shion หนึ่งในทายาทของนักปราชญ์แห่งทวีปมูได้รับมอบหมายให้เป็น Pope คนต่อไป (เขาถูกเจมินี่ ซากะ สังหารในอีก 230 ปีให้หลัง) ส่วน Libra Dohko (อาจารย์ของชิริว) ถูกส่งไปเฝ้าหอคอยที่กักวิญญาณของเฮดิสไว้ ณ เทือกเขาโรซันในประเทศจีน ผนึกที่อาธีนากักเฮดิสกับสเป็คเตอร์ทั้ง 108 ตนได้เสื่อมอำนาจลงตามกาลเวลา ชะตากรรมแห่งสงครามได้เวียนมาครบรอบอีกครั้งเมื่อทั้งอาธีนาและเฮดิสได้หวนจุติมายังโลกมนุษย์ อาธีนาเกิดในแซงจูรีส่วนเฮดิสหมายตาร่างของเด็กคนหนึ่งซึ่งในอนาคตใครๆพากันเรียกเขาว่าแอนโดรเมด้า ชุน

เฮดิสใช้อำนาจแห่งความมืดเข้าชักจูงเจมินี่ ซากะ จนซากะซึ่งดำรงตำแหน่ง Pope ในขณะนั้นคิดสังหารอาธีนาในร่างทารก แต่เคราะห์ดีที่เซ็นต์ราศีธนูนามไอโอลอสพาทารกน้อยหลบรอดคมมีดหนีออกจากนคร ศักดิ์สิทธิ์ไปได้ ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นคุณก็ทราบกันดีอยู่แล้วจากทั้งใน Manga และ Anime ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น