UFO คืออะไร? ยูเอฟโอ หรือบางทีภาษาอังกฤษก็อ่านกันว่า ยูโฟ (มีพหูพจน์เป็น UFO's หรือ UFOs ซึ่งผมจะใช้บ่อยๆ) เป็นคำย่อครับ มาจากคำเต็มคือ " An Unidentifies Flying Object " ที่ถอดความหมายออกมาได้เป็น "วัตถุบินลึกลับ" แล้วจานผี จานบินที่ว่า มันคืออะไร? คำว่าจานบินที่เราใช้เรียก UFO บ่อยๆนั้น เป็นคำแบบไม่เป็นทางการนะครับ ฝรั่งก็มีเรียกเหมือนกันว่า Flying saucers ก็คงเจ้าคำนี้นั่นแหละ ที่เป็นที่มาของคำว่า จานผี จานบิน เพราะเดิมที ผู้คนมักจะมองว่า จานบินที่พวกเขาพบนั้น มีลักษณะคล้ายกับจานหรือชามสองใบคว่ำประกบกัน และบินไปในท้องฟ้า ก็เลยพาลเรียกว่าจานบินเอาเสียเลย คำว่าจานบินนี่ก็มีที่ไปที่มาเหมือนกันนะครับ เพราะว่าผู้ที่เรียกมันว่าจานบิน(Flying saucers) เป็นคนแรกนั้น แกเป็นนักบินที่ชื่อ เคนเนธ อาร์โนลด์ นักธุรกิจและนักบินชาวอเมริกัน อาร์โนลด์เป็นเสืออากาศเก่า หลงไหลในการบินและเครื่องบินเอามากๆ วันหนึ่ง ขณะที่เขาขับเครื่องบินส่วนตัวอยู่เหนือเทือกเขาเรนเนียร์ ( Mount Rainnier) ในรัฐวอชิงตัน เวลาในตอนนั้นคือบ่ายสองโมง (เดือน มิ.ย. พ.ศ. 2490) ระดับความสูงของเครื่องอยู่ที่ 9500 ฟุต สภาพอากาศในวันนั้น เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส ทัศนวิสัยเรียกได้ว่า"ดีเลิศ" ไม่เป็นอุปสรรคใดๆต่อการบิน ขณะที่อาร์โนลด์กำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศบนฟ้า ฉับพลัน เขาก็มองเห็นสิ่งบินลึกลับ อยู่ต่ำลงไปเบื้องล่าง กำลังบินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือหุบเขาสูงๆต่ำๆ ซึ่งทอดแนวยาวต่ำกว่าเพดานบินของเขาลงไป อาร์โนลด์รู้สึกพิศวงกับสิ่งที่เห็น เนื่องด้วยประสบการณ์เสืออากาศของเขา ยังไม่สามารถบอกได้ว่า เจ้าสิ่งที่เห็นนั้นคืออะไร มันบินด้วยลักษณะอาการที่แตกต่างไปจากสิ่งบินหรืออากาศยานในสมัยนั้นโดยสิ้นเชิง ด้วยลักษณะที่เหมือนกับจานสองใบประกบกัน อาร์โนลด์เรียกมันว่าจานบินครับ ลักษณะการบินของมันก็แปลกใช่ย่อย มันร่อนไปในลักษณะที่แฉลบไปมา "เหมือนกับเวลาเราร่อนหินหรือจานแบนๆ ให้แฉลบไปบนผิวน้ำ" อาร์โนลด์กล่าว จานบินที่เขาเห็นมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 9 ลำ บินเกาะหมู่กันมาอย่างไม่เป็นระเบียบ คล้ายลูกปัดที่ร้อยกันห่างๆด้วยด้ายหรือโซ่ "จะว่าไปมันก็เหมือนห่านที่บินเรียงแถวกัน" เขาย้ำ ขนาดของจานบินเหล่านั้น มีขนาดประมาณ 2/3 ของเครื่อง DC-4 บินด้วยความเร็วประมาณ 1,700 ไมล์ต่อชั่วโมง มากกว่าเครื่องเชสน่าลำโปรดของเขาหลายเท่านัก เนื่องจากเคนเนธ อาร์โนลด์ เป็นคนมีชื่อเสียงและเป็นที่นับถือของคนทั่วไป อีกทั้งเป็นนักบินผู้มีประสบการณ์ เชียวชาญในเรื่องเครื่องบินเกือบทุกชนิด ดังนั้นการที่เขาเห็นยานลึกลับเก้าลำ และไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเครื่องบินชนิดใด จึงทำให้คนทั่วไปเชื่อกันว่า เคนเนธ อาร์โนลด์ คงได้เห็นสิ่งบินที่ไม่ได้สร้างขึ้นมาโดยมนุษย์บนโลกเป็นแน่แท้ อย่างไรก็ตาม กองทัพอากาศสหรัฐ ได้ออกมาแถลงข่าวว่า สิ่งที่อาร์โนลด์เห็นเป็นเพียงภาพลวงตา ซึ่งนักบินเก่าผู้นี้ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ไปเช่นกันว่า "ผมรายงานข่าวนี้ออกไป เนื่องเพราะว่าผมเป็นนักบิน ควรต้องรายงานสิ่งไม่ชอบมาพากลที่เห็นออกไป ไม่ได้ต้องการชื่อเสียงหรือเงินทองแต่อย่างใดทั้งสิ้น" อืมห์... ก็แหงล่ะครับ แกทั้งรวยทั้งดังเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนี่นา นั่นคือที่ไปที่มาโดยย่อๆของปรากฏการณ์ประหลาด ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้รับคำยืนยันใดๆทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งนับเป็นการแถลงอย่างเป็นทางการครั้งแรก เกี่ยวกับเจ้าสิ่งบินลึกลับที่ชะแว้บไปมา พาให้มนุษย์โลกฉงนฉงายกันจนทุกวันนี้ ณ เบื้องต้น นายโซนิคจะขออธิบายคร่าวๆ เกี่ยวกับลักษณะ ประเภท ของ UFO โดยสังเขป ขอย้ำว่าโดยสังเขปนะครับ ถ้าต้องการรายละเอียดจริงๆชนิดเอาไปเป็นหนังสืออ้างอิงล่ะก็ เชิญตามห้องสมุดหรือตามร้านหนังสือใหญ่ๆดีกว่าครับ ละเอียดและดีกว่ากันเยอะเลย ส่วนของนายโซนิคเนี่ย เอาเป็นว่าเล่ากันพอหอมปากหอมคอสำหรับผู้สนใจก็แล้วกันนะครับ [ ลักษณะและชนิดของ UFO ] จากรายงานการพบเห็นเห็นสิ่งบินลึกลับ ที่ทางการสหรัฐรวบรวมไว้ และไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นอะไรนั้น สามารถจะแบ่งลักษณะของยานลึกลับออกได้เป็น 12 แบบ ดังนี้ 1. ลักษณะคล้ายพยัญชนะ Z ในภาษาอังกฤษ หรืออาจจะมองได้อีกแบบว่า มีลักษณะเหมือนใบพัด เป็นโลหะยาว ความยาวประมาณ 8-9 ฟุต กว้าง 2 ฟุต (อืม.. แล้วอะไรจะนั่งได้ล่ะเนี่ย?) รายงานแรกที่พบเห็นมีเมื่อวันที่ 29 ก.ค. พ.ศ. 2490 เวลา 9.55 น ซึ่งขณะนั้นบินอยู่สูงประมาณ 30 ฟุต 2. ลักษณะคล้ายเครื่องบินแบบธรรมดา แต่ข้อพิเศษของมันคือมีออร่า เอ๊ย.. มีรังสีเป็นสีแดงล้อมรอบ นักเรียนนายเรือ ภรรยาและเพื่อนๆได้เห็นยานประหลาดชนิดนี้ในคืนวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2494 เวลาประมาณสามทุ่ม ซึ่งวัตถุเหล่านี้บินมาเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 2-9 ลำ วัตถุเหล่านี้บินเป็นเส้นตรงครับ 3. ลักษณะคล้ายเครื่องบิน ผู้บังคับหอการบินได้เห็นยานชนิดนี้เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2493 เวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง ขณะบินมีแสงสว่างจ้า แต่จะกระพริบเป็นบางครั้ง มีขนาดใหญ่กว่าเครื่องบินแบบ [u-29 ที่ปีกไม่มีเครื่องยนต์หรือใบพัด 4. ลักษณะแบบซิการ์ ชาวนาและลูกมือกำลังตัดและรักษาต้นยาสูบอยู่ในตอนเที่ยงคืน ของวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 ได้เห็นยานลักษณะนี้สองลำ ลำหนึ่งลอยนิ่งขณะที่ลำหนึ่งบินไปทางขวา และย้อนกลับมาทางเดิม ทั้งสองลำพ่นประกายออกจากส่วนท้าย ยานเหล่านี้มีลักษณะเป็นมันวาว มีแสงสะท้อน และมีแสงสวางอยู่ภายในด้วย 5. ลักษณะคล้ายจรวด ได้มีนักบินผู้หนึ่งพบเห็นยานบินชนิดนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2491 ขณะกำลังขับเครื่อง CD-3 ในเวลา 03.40 ยานลำนี้ได้บินเข้าหาเครื่องของนักบินและบินผ่านไปทางขวา ยานลำนี้อาจขับเคลื่อนด้วยจรวดหรือเครื่องบินแบบเจ็ท เพราะส่งประกายออกทางตอนท้าย ไม่มีปีก แต่มีหน้าต่างสองแถว สามารถมองเห็นแสงไฟแว่บออกมานิดหน่อย 6. จานบินแบบที่ 1 ช่างเครื่องยนต์คนหนึ่งได้เห็นจานบินชนิดนี้ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2495 เวลา 19.30 น. ยานชนิดนี้สามารถบินเปลี่ยนทิศทางได้ฉับไว และขับเคลื่อนได้รวดเร็วมากด้วย มีแสงสีขาวซึ่งบางครั้งเปลี่ยนเป็นสีแดง บางทีแสงก็ดับไปนานๆในลักษณะที่ใช่การกระพริบ 7. จานบินแบบที่ 2 มีลักษณะแบนและมีทรงกลม พบโดยนักบินในกองทัพสหรัฐประจำเกาหลี เมื่อดือนมิถุนายน 2495 เวลา 08.42 น. ยานดังกล่าวบินในลักษณะแปลกคือ มีอาการสั่น ทิศทางในการบินนั้น บางครั้งก็บินเป็นเส้นตรง บางครั้งก็หยุดอยู่กับที่ ขณะหนึ่งก็มีบินดิ่งขึ้น แล้วก็สั่นอีก เป็นต้น 8. จานบินแบบที่ 3 ได้มีผู้พบเห็นในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2491 เวลา 08.25 น. โดยช่างไฟฟ้าผู้หนึ่ง จานบินชนิดนี้บินเป็นเส้นตรงครับ UFO มาจากไหนและมาทำอะไร? ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น ก้อนหิน ดินทราย ขนมปัง ปลากระป๋อง หรือแม้แต่ UFOs มันก็ต้องมีที่ไปที่มาจริงไหมครับ ถ้า UFOs ที่ข่าวการพบเห็นให้เราได้ยินกันทุกวันๆนั้นมีอยู่จริง มันก็ต้องมีที่มาใช่ใช่ไหมครับ สถานที่ๆ UFOs เหล่านั้นจากมามันต้องมีอยู่ที่ไหนสักแห่งนี่แหละ ส่วนจะเป็นที่ไหนนั้นยังไม่มีใครตอบได้ หรือมีคนเหล่านั้นก็ดันไม่ยอมปริปากด้วยเหตุผลบางประการ ( เช่น NASA และรัฐบาลของมหาอำนาจตะวันตก อ้อ อย่าดูถูกญี่ปุ่นกับจีนนะครับ นี่ก็ใช่เล่นเหมือนกัน มีข่าวมาเหมือนกัน ว่าทั้งสองประเทศนี้กำลังทำโครงการลับๆอะไรบางอย่าง ที่เกี่ยวกับ UFOs อยู่ ) ในเมื่อหาคำตอบที่ถูกต้องไม่ได้ก็ต้องอาศัยสมมุติฐานเข้าช่วยล่ะครับ มีนักวิชาการหลายท่านเสนอทฤษฎีน่าสนใจขึ้นมา เกี่ยวกับคำถามที่ว่า " UFOs มาจากไหน " ลองมาดูกันครับ ว่า UFOs น่าจะมาจากที่ไหนบ้าง หรือว่า... มาจากดาวดวงอื่น เป็นทฤษฎีที่ป๊อบที่สุด และมีความเป็นไปได้มากที่สุดครับ ดูจากลักษณะทั่วไปของ UFOs มันถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่ไม่มีชาติใดในโลกทำได้ ( อย่างน้อยก็ตอนนี้ ) ในบางรายที่พบเห็น UFOs ยืนยันว่า มันไม่เหมือนอากาศยานของชาติใดในโลกอย่างเด็ดขาด ส่วนนักบินที่มากับ UFOs เล่า หน้าตาแต่ละท่านไม่เหมือนเผ่าพันธ์ชาวพิภพเราเลยสักนิดเดียว ดังนั้น นักวิชาการหลายคนจึงลงความเห็นว่า พวกนี้น่าจะมาจากต่างดาวครับ ข้อยืนยันก็คือ ดวงดาวในห้วงอวกาศมีมากมายจนนับทั้งชีวิตก็ไม่ถ้วน อาจจะมีดาวเคราะห์ในสักจักรวาลหนึ่ง ที่มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอาศัยอยู่เช่นพวกเรา มีความเป็นไปได้ใช่ไหมล่ะครับ? ปัญหาก็คือ ระยะทางระหว่างแต่ละแกแล็คซี่มันช่างไกลกันจนน่าใจหาย ความเร็วที่สุดของที่สุดที่มนุษย์รู้จักในปัจจุบันก็คือความเร็วแสง ถึงขนาดว่าแสงเร็วกว่าจะเดินทางไปถึงดาวบางดวงที่อยู่ใกล้ๆ ก็ยังกินเวลาเป็นร้อยๆปีด้วยซ้ำ จะกินเวลาอีกสักเท่าไหร่กันครับ กว่าเทคโนโลยีของมนุษย์จะก้าวข้ามกำแพงแห่งความเร็วแสง เพื่อเปิดยุคแห่งการสัญจรระหว่างดวงดาว จะได้รู้ๆกันเสียทีว่า ดาวดวงใดบ้าง ที่มีสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์เราอาศัยอยู่บ้าง มากกว่า 30 ปีมาแล้ว ที่มนุษย์เราสงสัยว่า ดวงจันทร์และดาวศุกร์ (รวมไปถึงดาวอังคาร) มีมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่ ถึงแม้ปัจจุบัน ภาพถ่ายจากยานสำรวจได้แสดงให้เราเห็นแล้วว่า ไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาสัยอยู่บนดาวเคราห์เหล่านี้ คนส่วนใหญ่รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์บางท่านก็ยังปักใจเชื่ออยู่ดี ว่าต้องมีมนุษย์ต่างดาวหลบซ่อนอยู่ตรงหลืบไหนสักแห่งบนดาวเคราะห์พวกนี้แหละ โอกาศที่มนุษย์ต่างดาวและ UFOs จะมาจากต่างแกแล็คซี่นั้น ความเป็นไปได้ออกจะริบหรี่เต็มทน ทั้งนี้เนื่องมาจากระยะทางนั่นเอง แต่ก็ไม่แน่หรอกครับ พวกเขาอาจจะกำเทคโนโลยีที่เราไม่รู้เอาไว้ในกำมือก็ได้ จากมิติอื่นเสียมากกว่าล่ะมั้ง เป็นอีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจมากครับ กล่าวคือ ถ้า UFOs พวกนี้ไม่ได้มาจากต่างดาว ก็น่าจะมาจากอีกมิติหนึ่ง ซึ่งอาจจะซ้อนกับมิติของเราอยู่ ต้นตำรับผู้เสนอแนวคิดเรื่องผู้มาเยือนจากต่างมิติ คือกระทาชายนาย Jacques Vallee นับว่าน่าสนใจมากเหมือนกัน เพราะสามารถอธิบายลักษณะการปรากฏตัว การลักพาตัวมนุษย์โลก รวมทั้งการเคลื่อนไหวแบบแปลกๆของ UFOs ได้ในหลายๆกรณี แต่ก็แค่นั้นแหละครับ เป็นเพียงแค่ทฤษฎีที่น่าสนใจเท่านั้นเอง ความเป็นไปได้ยังน้อยอยู่มาก ผู้คนส่วนใหญ่จึงเพียงแค่รับฟัง ไม่ถึงกับคล้อยตามอย่างในทฤษฎีแรก ที่ว่าด้วยการมาเยือนจากดาวดวงอื่น ตาฝาด หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติเสียมากกว่า... ยังมีนักวิชาการและนักวิจัยจำนวนมาก ที่เชื่อว่าการมองเห็นยูเอฟโอ เป็นผลกระทบจากสมองและอาการผิดปกติทางกายภาพครับ มีอยู่รายหนึ่งเชื่อว่า เป็นอาการตาฝาดหรือมองเห็นภาพหลอน อันเนื่องมาจากสมองของผู้พบเห็นมีปฏิกิริยากับ คลื่นวิทยุ และกระแสแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งมีกันอยู่ดาษดื่นแทบจะวิ่งชนกันตายในสังคมปัจจุบัน อนุภาคของคลื่นบางชนิดอาจส่งผลผิดปกติทางประสาทรับรู้ของคนเราก็ได้ เค้าว่ามาอย่างนั้นนะครับ มีอีกรายเหมือนกันที่เสนอแนวคิดว่า บนโลกอันแสนจะบูดเบี้ยวของเรานี้ จะมีพื้นที่บางส่วนที่มีพลังแม่เหล็กไฟฟ้ามหาศาลอยู่ เมื่อเกิดปฏิกิริยาบางประการขึ้น เจ้าบริเวณที่ว่านี้จะสามารถส่งพลังงานออกมาและ "ลบ" คลื่นตลอดจนพลังงานทั้งปวงไปจนหมดสิ้น แถมพลังงานที่ออกมาบางครั้งยังเปล่งแสงส่องสว่างได้เหมือนหลอดไฟด้วย มันก็น่าคิดเหมือนกันนะครับ เพราะตามรายงานการพบเห็น UFOs ส่วนใหญ่จะระบุว่า คอมพิวเตอร์ไม่ทำงาน เข็มทิศตลอดจนอุปกรณ์อีเล็คทรอนิคส์ล้วนใช้การไม่ได้ แล้วท่านคิดอย่างนักวิจัยคนนี้ไหมครับ ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ผิดปกติของแม่เหล็กไฟฟ้าบนพื้นที่ "พิเศษ" บางแห่งบนโลกของเรา และเจ้าสิ่งบินแปลกปลอมที่รู้จักกันในนามของ UFOs ที่เห็นๆกันนั้น คือปรากฏการณ์ของการส่องสว่างอันเนื่องมาจากพลังงานที่ว่า ฟังๆดูก็เข้าท่าครับ เพียงแต่ทฤษฎีนี้อธิบายเรื่องของ UFOs ไม่ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะกรณีที่มีรายงานการพบเห็นมนุษย์ต่างดาว การลักพาตัวคนบนโลกไปทำการทดลอง ตลอดจนร่องรอยของอารยธรรมโบราณที่กล่าวถึงพระเจ้าจาก" อวกาศ " โดยส่วนตัวของนายโซนิคเองเชื่อว่า ในรายงานการพบเห็น UFOs คงมีบางส่วนที่จัดเข้ากรณีนี้ได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดอย่างแน่นอน แหม… ก็หลักฐานมันเห็นๆกันอยู่ทนโท่นะครับ ผู้มาจากอนาคต บางทีสิ่งเหล่านี้เป็นไปได้ว่าเดินทางมาจากอนาคตครับ ทฤษฎีนี้พึ่งได้รับการตอบรับจากนักวิชาการทั่วไปเมื่อไม่นานมานี้เอง ว่ามีสิทธเป็นไปได้เหมือนกัน แถมยังตอบคำถามเกี่ยวกับ UFOs ได้ในแทบทุกกรณี ซึ่งบางแง่มุมก็น่าคิดอยู่ไม่น้อย ผมจะขอยกประเด็นที่น่าสนใจมาสัก ประเด็นสองประเด็นก็แล้วกันนะครับ มนุษย์โลกเชื่อกันว่า ความเร็วที่สุดเท่าที่เคยเร็วมาก็คือความเร็วของแสงครับ ไม่มีอะไรจะเดินทางได้เร็ว และย่นเวลาได้เท่าแสงอีกแล้ว หากการมาเยือนของผู้มาจากโพ้นพิภพมีจริงๆ นั่นก็แสดงว่าพวกเขาไม่น่าจะอยู่ไกลจากเรามากนัก เพราะมาให้พบเห็นกันบ่อยเหลือเกิน นักวิชาการบางคนเลยเสนอแนวคิดว่า ผู้ที่มากับ UFOs นั้นอาจไม่ใช่อื่นไกล ก็มนุษย์โลกเราเองนี่แหละครับ ที่ย้อนเวลามาจากอนาคต เพื่อกระทำกิจธุระกับมนุษย์ปัจจุบันในหลายๆด้าน ฟังดูเหลือเชื่อแต่ก็มีสิทธิเป็นไปได้ในอนาคต อนาคตตอนไหนน่ะหรือ? ฮ่า ฮ่า ก็อนาคตตอนที่ฟิสิกข์ของเราก้าวหน้าจนถึงขั้นท่องเที่ยวในกาลเวลาได้เหมือนในหนังน่ะสิครับ ทุกคนที่เรียนประวัติศาสตร์มาคงจะซึมซาบกับอมตวาจาประโยคนี้ดี "ประวัติศาสตร์ คือบทเรียนที่ดีของอนาคต" ผู้มากับ UFOs อาจต้องการมาศึกษาประวัติศาสตร์จากอดีตของพวกเขา ซึ่งก็คือยุคปัจจุบันของพวกเรา (ฟังแล้วงงดีวุ๊ย) นั่นเอง ความสามารถในการ "วาร์ป" ข้ามกาลเวลาของ UFOs คือคำตอบที่ดีของคำถามที่ว่า ทำไมเวลามีผู้พบเห็น UFOs มักจะเห็นมาโผล่มาอย่างปุบปับ แล้วก็หายแว๊บไปอย่างไม่มีร่องรอย ข้อเท็จจริงอีกอย่างที่พอจะสนับสนุนทฤษฎีนี้ได้ ก็คือรายงานการพบเห็นสิ่งมีชีวิตที่มากับ UFOS นั่นล่ะครับ รูปร่างเล็ก ตัวสีเทา หัวโต ตัวลีบ นิ้วมือยาว สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์คาดว่าจะเกิดขึ้นกับมนุษย์ในอนาคต เป็นผลมาจากวิทยาการที่ทำให้มนุษย์ได้รับความสะดวกสบายเกินไป และถ้าพวกเขาเป็นมนุษย์โลกที่มาจากอนาคตจริง มันก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะสนใจทำการทดลองกับร่างกายของเรา เพื่อศึกษาวิวัฒนาการนั่นเอง |
วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554
UFO
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น