เคยมีคำกล่าวทำนองที่ว่า คุณค่าของมนุษย์อยู่ที่ผลงานที่มี เพราะฉะนั้น"งาน"จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์จะขาดไปเสียมิได้ แต่ก็นั่นล่ะครับ มนุษย์เราใช่ว่าจะสามารถทำงานทุกอย่างทุกแขนงได้สบายบรื๋อเสียเมื่อไหร่กันเล่า
งานบางงานเป็นงานที่หนักเกินพละกำลัง บางงานเป็นงานที่ซ้าๆน่าเบื่อ และมีอีกหลายงานที่ต้องอาศัยความประณีตแม่นยำสูง แถมบางงานยังมีอันตรายต้องเสี่ยงชีวิตซะอีกแน่ะ ใครล่ะอยากจะทำจริงไหมครับ? แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถึงไม่อยากยังไงผลผลิตแห่งงานเหล่านั้นก็ยังจำเป็นสำหรับวิถีชีวิตของมนุษย์อยู่ ดังนั้น มนุษย์ผู้ชอบเอาเปรียบบางกลุ่มจึงใช้สถานะที่เหนือกว่าหาทาสมาทำงานเหล่านั้นทดแทน
ทาสก็เป็นมนุษย์เหมือนนายทาส มีข้อจำกัดเฉกเช่นผู้เป็นนายไม่ผิดเพี้ยน(ต่างแค่อิดอออดหรือปฏิเสธไม่ได้แค่นั้นมั้งครับ ^^! ) มีเลือดมีเนื้อ มีชีวิตเหมือนผู้เป็นนาย ครั้นจะให้ทาสมาเหนื่อยเปล่าตายเปล่ามันงผิดวิสัย ดังนั้นมนุษย์ที่ฉลาดและช่างฝันจึงพยายามเสมอมาที่จะหา "ทาส" ชนิดอื่นเข้ามาทำงานที่วิสัยปกติของมนุษย์ไม่อยากทำ
สิ่งที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่ทุกวันนี้ก็น่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์อันประกอบด้วยเครื่องยนตร์กลไก มีการเคลื่อนไหวเลียนแบบสิ่งมีชีวิต บางครั้งก็เลียนแบบมนุษย์ไปนั่นเลย บางตัวมีรูปร่างพิกลทั้งเป็นแท่ง เป็นดุ้น(ว๊าย.. น่าเกลียด) เป็นก้อน เป็นเหลี่ยม ห้อยด้วยกลไกไฮดรอลิคและสายไฟระโยงระยาง บางตัวมีวงจรคอมพิวเตอร์คอยกำกับ พวกมันทำงานอย่างซื่อสัตย์ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เครื่องยนตร์กลไกทั้งหลายทั้งปวงนี้ เราเรียกรวมความกันเพื่อให้เข้าใจง่ายๆว่า หุ่นยนต์(Robots)
งานบางงานเป็นงานที่หนักเกินพละกำลัง บางงานเป็นงานที่ซ้าๆน่าเบื่อ และมีอีกหลายงานที่ต้องอาศัยความประณีตแม่นยำสูง แถมบางงานยังมีอันตรายต้องเสี่ยงชีวิตซะอีกแน่ะ ใครล่ะอยากจะทำจริงไหมครับ? แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถึงไม่อยากยังไงผลผลิตแห่งงานเหล่านั้นก็ยังจำเป็นสำหรับวิถีชีวิตของมนุษย์อยู่ ดังนั้น มนุษย์ผู้ชอบเอาเปรียบบางกลุ่มจึงใช้สถานะที่เหนือกว่าหาทาสมาทำงานเหล่านั้นทดแทน
ทาสก็เป็นมนุษย์เหมือนนายทาส มีข้อจำกัดเฉกเช่นผู้เป็นนายไม่ผิดเพี้ยน(ต่างแค่อิดอออดหรือปฏิเสธไม่ได้แค่นั้นมั้งครับ ^^! ) มีเลือดมีเนื้อ มีชีวิตเหมือนผู้เป็นนาย ครั้นจะให้ทาสมาเหนื่อยเปล่าตายเปล่ามันงผิดวิสัย ดังนั้นมนุษย์ที่ฉลาดและช่างฝันจึงพยายามเสมอมาที่จะหา "ทาส" ชนิดอื่นเข้ามาทำงานที่วิสัยปกติของมนุษย์ไม่อยากทำ
สิ่งที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่ทุกวันนี้ก็น่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์อันประกอบด้วยเครื่องยนตร์กลไก มีการเคลื่อนไหวเลียนแบบสิ่งมีชีวิต บางครั้งก็เลียนแบบมนุษย์ไปนั่นเลย บางตัวมีรูปร่างพิกลทั้งเป็นแท่ง เป็นดุ้น(ว๊าย.. น่าเกลียด) เป็นก้อน เป็นเหลี่ยม ห้อยด้วยกลไกไฮดรอลิคและสายไฟระโยงระยาง บางตัวมีวงจรคอมพิวเตอร์คอยกำกับ พวกมันทำงานอย่างซื่อสัตย์ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เครื่องยนตร์กลไกทั้งหลายทั้งปวงนี้ เราเรียกรวมความกันเพื่อให้เข้าใจง่ายๆว่า หุ่นยนต์(Robots)

Automata หุ่นกลยุคโบราณ
ก่อนจะมาเป็นหุ่นยนต์ยุค Mechanics นั้น มนุษย์ใฝ่ฝันที่จะมีผู้รับใช้มนุษย์มานานแสนนานแล้ว คนโบราณหลายชาติบันทึกเรื่องราวชวนฝันทำนองนี้เอาไว้เยอะครับ มีรากศัพท์ของคำว่า Automata หรือหุ่นกลใช้กันมาแสนนานแล้ว และหุ่นกลสมัยโบราณนั้น หาได้เคลื่อนไหวด้วยจักรกลเช่นปัจจุบันไม่ บางตัวอาศัยลาน แรงลม แรงดันน้ำ หรือแม้กระทั่งเวทย์มนตร์คาถา เรื่องราวเหล่านี้ก่อให้เกิดตำนานของหุ่นกลสนุกๆมากมาย ก่อนจะแปลงสภาพกลายเป็นตำนานของ Getter Robo หรือ Gundum อย่างทุกวันนี้
ก่อนจะมาเป็นหุ่นยนต์ยุค Mechanics นั้น มนุษย์ใฝ่ฝันที่จะมีผู้รับใช้มนุษย์มานานแสนนานแล้ว คนโบราณหลายชาติบันทึกเรื่องราวชวนฝันทำนองนี้เอาไว้เยอะครับ มีรากศัพท์ของคำว่า Automata หรือหุ่นกลใช้กันมาแสนนานแล้ว และหุ่นกลสมัยโบราณนั้น หาได้เคลื่อนไหวด้วยจักรกลเช่นปัจจุบันไม่ บางตัวอาศัยลาน แรงลม แรงดันน้ำ หรือแม้กระทั่งเวทย์มนตร์คาถา เรื่องราวเหล่านี้ก่อให้เกิดตำนานของหุ่นกลสนุกๆมากมาย ก่อนจะแปลงสภาพกลายเป็นตำนานของ Getter Robo หรือ Gundum อย่างทุกวันนี้
ถ้าไม่พูดถึงไบเบิ้ลบ้างก็คงไม่ใช่นายโซนิค เค้าถือกันว่าอาดัม-มนุษย์คนแรกของโลกนั้น เป็น"หุ่นกล"ตัวแรกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นจากฝุ่นผงแห่งพสุธา ตรงนี้อย่าเพิ่งสับสนแล้วทักท้วงผมนะครับว่าอาดัมเป็นสิ่งมีชีวิตไม่ใช่เรอะ จะเป็นหุ่นยงหุ่นยนต์ไปได้ยังไง แหมนะ.. ท่านเนี่ย ผมยังไม่ได้พูดคำว่าหุ่นยนต์ซักคำ ย้อนไปต้นพารากราฟนี้สิครับ เห็นมะ ผมบอกออกชัดเจนว่าเป็น "หุ่นกล" ในสมัยก่อนนั้นหลักแมคานิคส์ยังไม่เป็นรู้จักกันนี่ครับ มนุษย์ไม่แยกแยะหรอกว่า อะไรคือผลพวงของผลผลิตทางชีววิทยาและอะไรเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางวิศวกรรมศาสตร์ อะไรที่สร้างขึ้นเลียนแบบมนุษย์เค้าเรียก "หุ่นกล" ทั้งนั้นแหละ แต่ผมว่าคนโบราณเค้าวิสัยทัศน์กว้างนะฮะ เพราะด้วยเทคโนโลยีชีวภาพในปัจจุบันนั้น เราแทบจะแยกสิ่งประดิษฐ์กับสิ่งมีชีวิตไม่ออก ไม่แน่ อนาคตเราอาจมีโลหะที่มีชีวิตใช้กันเหมือนโอริชอล์คของชาวแอตแลนติสก็ได้ ใครจะไปรู้
ถัดจากไบเบิลก็คงจะเป็นกรีกครับ ตามตำนานกรีกกล่าวถึงเทพโพรเมเธอุสผู้สร้างมนุษย์หญิงชายคู่แรกจากผืนดิน และให้ชีวิตกับมนุษย์ด้วยไฟแห่งชีวิตที่ขโมยลงมาจากสรวงสวรรค์ พูดถึงนิยายกรีกแล้วมีอีกหลายเรื่องมากครับที่เกี่ยวข้องกับหุ่นกล เช่นเจ้า Talus ในเรื่องเจสันกับขนแกะทองคำ คณะของวีรบุรุษเจสันต้องเผชิญกับยักษ์กลที่ทำจากทองเหลืองชื่อทาลัส ยักษ์กลตัวนี้ผิวหนังแข็งแกร่งอาวุธแทบไม่ระคายครับ แถมยังไม่รู้จักความเจ็บปวดอีกแน่ะ มันใช้พละกำลังอันมหาศาลเข้าบดขยี้คู่ปรปักษ์ จนเจสันและพวกต้องใช้วิธีเจาะเข้าไปบริเวณข้อเท้า ทำให้น้ำทองแดงร้อนๆที่เปรียบเหมือนเลือดของทาลัสไหลออกมาจนหมด และมันก็จะตาย
ถัดจากไบเบิลก็คงจะเป็นกรีกครับ ตามตำนานกรีกกล่าวถึงเทพโพรเมเธอุสผู้สร้างมนุษย์หญิงชายคู่แรกจากผืนดิน และให้ชีวิตกับมนุษย์ด้วยไฟแห่งชีวิตที่ขโมยลงมาจากสรวงสวรรค์ พูดถึงนิยายกรีกแล้วมีอีกหลายเรื่องมากครับที่เกี่ยวข้องกับหุ่นกล เช่นเจ้า Talus ในเรื่องเจสันกับขนแกะทองคำ คณะของวีรบุรุษเจสันต้องเผชิญกับยักษ์กลที่ทำจากทองเหลืองชื่อทาลัส ยักษ์กลตัวนี้ผิวหนังแข็งแกร่งอาวุธแทบไม่ระคายครับ แถมยังไม่รู้จักความเจ็บปวดอีกแน่ะ มันใช้พละกำลังอันมหาศาลเข้าบดขยี้คู่ปรปักษ์ จนเจสันและพวกต้องใช้วิธีเจาะเข้าไปบริเวณข้อเท้า ทำให้น้ำทองแดงร้อนๆที่เปรียบเหมือนเลือดของทาลัสไหลออกมาจนหมด และมันก็จะตาย
หุ่นกลคลาสสิคอีกตัวนึงที่เราคุ้นเคยกันดีก็คือโกเล็ม (The Golem) หน้าตาท่าทางก็อย่างที่เห็นในภาพด้านซ้ายมือนั่นแหละครับ โกเล็มเป็นหุ่นกลสัญชาติยิวที่สร้างขึ้นมาจากดินแทนทองเหลือง โกเล็มมีรูปร่างเหมือนมนุษย์แต่บึกบึนกว่า สูงใหญ่กว่า ทำหน้าที่ปกปักพิทักษ์ชาวยิวมาแต่ครั้งบรรพกาล วิธีสร้างโกเล็มนั้นต้องปั้นหุ่นดินขึ้นมาก่อนครับ จากนั้นแร็บไบในศาสนายิวจะร่ายคาถาศักดิ์สิทธิ์ และเขียนพระนามของพระเจ้าใส่กระดาษสอดเข้าไปในปากของโกเล็ม เท่านี้โกเล็มของเราก็เดินได้ปร๋อแล้ว
ตำนานของโกเล็มที่จัดว่าขึ้นหิ้งคลาสสิคคือผลงานของนักเขียนชื่อ กุสตาฟ มายริก ในปี พ.ศ. 2548 ตามท้องเรื่องเจ้าโกเล็มเกิดเลียนแบบช้างคือตกมันขึ้นมา เที่ยวอาละวาดไล่ทำลายบ้านเรือนและผู้คน หนทางเดียวที่จะหยุดโกเล็มได้คือ "เอากระดาษออกจากปากมัน..." แหม พูดง่ายทำยากนะครับ ก่อนจะดึงแผ่นกระดาษออกมาได้มีหวังโดนเจ้าโกเล็มกระทืบม้ามทะเล็ดเอาปะไร
ตำนานของโกเล็มที่จัดว่าขึ้นหิ้งคลาสสิคคือผลงานของนักเขียนชื่อ กุสตาฟ มายริก ในปี พ.ศ. 2548 ตามท้องเรื่องเจ้าโกเล็มเกิดเลียนแบบช้างคือตกมันขึ้นมา เที่ยวอาละวาดไล่ทำลายบ้านเรือนและผู้คน หนทางเดียวที่จะหยุดโกเล็มได้คือ "เอากระดาษออกจากปากมัน..." แหม พูดง่ายทำยากนะครับ ก่อนจะดึงแผ่นกระดาษออกมาได้มีหวังโดนเจ้าโกเล็มกระทืบม้ามทะเล็ดเอาปะไร
Robotics History: ตุ๊กตากล หุ่นยนต์ยุคโบราณ
หุ่นกลในตำนานเป็นจินตนาการเกี่ยวกับความฝันของมนุษย์ ที่จะสร้างทาสผู้จงรักขึ้นมารับใช้และปกป้อง ถ้าเราจะนับเรื่องราวเหล่านั้นเป็นแนวคิดที่จุดประกายของการสร้างหุ่นยนต์ล่ะก็ ตุ๊กตากลที่ขับเคลื่อนด้วยขดลวดและพลังน้ำอย่างง่ายๆในยุคถัดมานี่แหละครับ คือก้าวแรกของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ในปัจจุบัน หลักฐานที่เก่าที่สุดที่พบคือตุ๊กตากลของกษัตริย์เมมนอนแห่งเอธิโอเปีย ที่สามารถเปล่งเสียงร้องเพลงได้ยเมื่อกระทบแสงอาทิตย์ในยามอุษา ตุ๊กตาดังกล่าวถูกสรางขึ้นเมื่อประมาณหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อนคริสตกาลครับ ความลับที่ทำให้มันเปล่งเสียงได้ก็คือ ขดลวดที่อยู่ตัวของมันจะคลายตัวออกมากระทบกับฐานใต้ตัวที่เรียงไว้ด้วยขดลวดอีกชุด ลักษณะเหมือนดีดเครื่องสายยังไงยังงั้นแหละครับ
เป็นอันว่าแนวคิดของการใช้ขดลวดหรือสปริงนั้น มีกันมาแต่ครั้งโบราณแล้วแหละครับ ทอดระยะต่อมาราว 6-700 ปี ปราชญ์ผู้หนึ่งแห่งอารยธรรมไบแซนติอุมก็ได้ประดิษฐ์ตุ๊กตากลโดยใช้แรงดันของน้ำเป็นตัวขับ มีลักษณะเหมือนนกขนาดใหญ่และมีน้ำไหลออกมาจากปากของนกตลอดเวลา
ส่วนช่วงก่อนคริสตกาลประมาณ 500 ปีแถวเอเชียบ้านเรา นั้น ก็ได้มีการประดิษฐ์ตุ๊กตากลขึ้นเช่นกันครับ มีทั้งนก ทั้งโค สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยข้อต่อและพลังกล โคยนต์ของท่านขงเบ้งแห่งสามก๊กถือเป็นหนึ่งในตระกูลตุ๊กตากลพวกนี้ด้วยครับ
ตุ๊กตาที่โดดเด่นที่สุดในยุคต้นคริสตวรรษ ได้แก่ตุ๊กตากลแห่งเอล็กซานเดรียครับ อาศัยหลักของเฟืองกับเทคนิคของกาลักน้ำ ตุ๊กตากลที่ดังๆก็เช่น ตุ๊กตาหมู่นกร้องเพลง ตุ๊กตาคนเทไวน์ลงอ่าง เทคนิคที่ใช้ในสมัยนั้นแม้จะเป็นเทคนิคง่ายๆ แต่อย่าลืมนะครับว่าเวลาขณะนั้นคือ พ.ศ. 600 กว่าๆ ในสายตาของเราอาจเป็นเทคนิคง่ายๆที่ใครๆก็รู้ แต่สำหรับชาวอเล็กซานเดรียแล้ว มันคือนวัตกรรมอันยิ่งใหญ่แห่งยุคเชียวนะครับ ช่วงปลายๆอารยธรรมอเล็กซานเดรียนั้น มีการประยุกต์เอาแรงไอน้ำเข้ามาช่วยขับเคลื่อนตุ๊กตาก็ยิ่งน่าทึ่งใหญ่ เรียกได้ว่าตุ๊กตากลพวกนี้เป็นเครื่องจักรไอน้ำรุ่นแรกๆของโลกเลยทีเดียว
เป็นอันว่าแนวคิดของการใช้ขดลวดหรือสปริงนั้น มีกันมาแต่ครั้งโบราณแล้วแหละครับ ทอดระยะต่อมาราว 6-700 ปี ปราชญ์ผู้หนึ่งแห่งอารยธรรมไบแซนติอุมก็ได้ประดิษฐ์ตุ๊กตากลโดยใช้แรงดันของน้ำเป็นตัวขับ มีลักษณะเหมือนนกขนาดใหญ่และมีน้ำไหลออกมาจากปากของนกตลอดเวลา
ส่วนช่วงก่อนคริสตกาลประมาณ 500 ปีแถวเอเชียบ้านเรา นั้น ก็ได้มีการประดิษฐ์ตุ๊กตากลขึ้นเช่นกันครับ มีทั้งนก ทั้งโค สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยข้อต่อและพลังกล โคยนต์ของท่านขงเบ้งแห่งสามก๊กถือเป็นหนึ่งในตระกูลตุ๊กตากลพวกนี้ด้วยครับ
ตุ๊กตาที่โดดเด่นที่สุดในยุคต้นคริสตวรรษ ได้แก่ตุ๊กตากลแห่งเอล็กซานเดรียครับ อาศัยหลักของเฟืองกับเทคนิคของกาลักน้ำ ตุ๊กตากลที่ดังๆก็เช่น ตุ๊กตาหมู่นกร้องเพลง ตุ๊กตาคนเทไวน์ลงอ่าง เทคนิคที่ใช้ในสมัยนั้นแม้จะเป็นเทคนิคง่ายๆ แต่อย่าลืมนะครับว่าเวลาขณะนั้นคือ พ.ศ. 600 กว่าๆ ในสายตาของเราอาจเป็นเทคนิคง่ายๆที่ใครๆก็รู้ แต่สำหรับชาวอเล็กซานเดรียแล้ว มันคือนวัตกรรมอันยิ่งใหญ่แห่งยุคเชียวนะครับ ช่วงปลายๆอารยธรรมอเล็กซานเดรียนั้น มีการประยุกต์เอาแรงไอน้ำเข้ามาช่วยขับเคลื่อนตุ๊กตาก็ยิ่งน่าทึ่งใหญ่ เรียกได้ว่าตุ๊กตากลพวกนี้เป็นเครื่องจักรไอน้ำรุ่นแรกๆของโลกเลยทีเดียว
แต่หลักฐานที่ยังเหลือเป็นชิ้นเป็นอันมากที่สุด คือตุ๊กตากลของทางยุโรปครับ เพราะปัจจุบันยังสามารถหาชมจากพิพิธภัณฑ์ได้หลายสิบตัวอยู่ ตัวที่ประดิษฐ์ขึ้นในช่วงแรกๆคือตุ๊กตากลของ เกียเนลโล เดล ลาทอเร ครับ เป็นตุ๊กตาองค์หญิงถือพิณ เมื่อเปิดกลไก องค์หญิงของเราก็จะเดินวนเป็นวงกลม แถมส่ายหัวไปมาและดีดพิณให้เราฟังได้ด้วยแน่ะ... ปัจจุบันตุ๊กตากลตัวนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ตุ๊กตากลของยุโรปนั้นมีมากมายจาระไนไม่หมดหรอกครับ
จุดที่น่าสังเกตคือในช่วงรอยต่อของคริสศตวรรษที่ 18-19 ในยุคที่จักรกลอุตสาหกรรมเฟื่องฟู ตุ๊กตากลที่อาศัยฟันเฟืองขนาดเล็กก็เลยเฟื่องฟูตามไปด้วย ตุ๊กตาเป็ดของ จาร์ค เดอ โวคูซอง นับเป็นตุ๊กตากลอีกตัวหนึ่งที่น่าทึ่ง เนื่องมาจากเป็ดที่ทำจากโลหะชุบทองแดงตัวนี้สามารถว่ายน้ำ ส่งเสียงร้อง รวมทั้งกินอาหารเหมือนเป็ดมีชีวิตจริงๆ ตัวตุ๊กตาเป็นประกอบด้วยฟันเฟืองแบบประณีตร่วม 400 ชิ้น มีขนาดใหญ่โตและใช้เวลาสร้างกว่า 3 ปีครึ่ง เจ้าเป็ดตัวนี้ลีลาคงเด็ดดวงเอาการครับ เพราะเป็นที่กล่าวถึงมาจนทุกวันนี้ ข้อเสียเพียงประการเดียวของเจ้าเป็ดตัวดังกล่าวคือต้องพักการแสดงทุกๆรอบ เพื่อเอาอาหารและน้ำที่มันขย้อนเข้าไปออกจากท้องของมันเสียก่อน ปัจจุบันเป็ดตัวนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมในกรุงปารีสครับ
ตัวอื่นๆที่น่าสนใจก็มีกลุ่มตุ๊กตานักดนตรีของ ปิแอร์ จาร์เก็ต-ดรอส ซึ่งประกอบไปด้วยตุ๊กตากลเด็กผู้ชายเขียนหนังสือ ตุ๊กตากลเด็กผู้ชายวาดลายเส้น และตุ๊กตาเด็กผู้หญิงเล่นเปียโนอย่างละหนึ่งตัว ซึ่งตุ๊กตากลทั้งหมดอยู่ในท่านั่ง ลักษณะของการทำงานจะเริ่มสั่งงานจากกลไกที่ฐานของตุ๊กตา เชื่อไหมครับว่า เจ้าตุ๊กตาทั้งสามนี้สามารถทำงานที่ตั้งเอาไว้ล่วงหน้าได้จริงๆ คือลายเส้นและตัวหนังสือสามารถเขียนได้ตามที่กำหนดไว้ ส่วนแม่สาวนักเปียโนก็สามารถพรมนิ้วลงบนคีย์ได้เป็นเพลงอย่างไม่ผิดเพี้ยน สามารถส่ายหน้าไปมา กรอกดวงตาขึ้นลง บริเวณทรวงอกดูอวบอิ่ม.. เอ๊ย.. ไม่ใช่ บริเวณทรวงอกยุบเข้ายุบออกคล้ายกำลังหายใจ แถมเมื่อแสดงจบยังสามารถโค้งคำนับให้กับผู้ชมได้อีกด้วย
...ไม่เรียกตุ๊กตากลมหัศจรรย์ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรล่ะครับงานนี้ อ้อ... ตุ๊กตาทั้งสามปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ศิลป์ เมืองนูชาเทล ประเทศฝรั่งเศส สนใจก็ตามไปดูกันได้ครับ ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว
จุดที่น่าสังเกตคือในช่วงรอยต่อของคริสศตวรรษที่ 18-19 ในยุคที่จักรกลอุตสาหกรรมเฟื่องฟู ตุ๊กตากลที่อาศัยฟันเฟืองขนาดเล็กก็เลยเฟื่องฟูตามไปด้วย ตุ๊กตาเป็ดของ จาร์ค เดอ โวคูซอง นับเป็นตุ๊กตากลอีกตัวหนึ่งที่น่าทึ่ง เนื่องมาจากเป็ดที่ทำจากโลหะชุบทองแดงตัวนี้สามารถว่ายน้ำ ส่งเสียงร้อง รวมทั้งกินอาหารเหมือนเป็ดมีชีวิตจริงๆ ตัวตุ๊กตาเป็นประกอบด้วยฟันเฟืองแบบประณีตร่วม 400 ชิ้น มีขนาดใหญ่โตและใช้เวลาสร้างกว่า 3 ปีครึ่ง เจ้าเป็ดตัวนี้ลีลาคงเด็ดดวงเอาการครับ เพราะเป็นที่กล่าวถึงมาจนทุกวันนี้ ข้อเสียเพียงประการเดียวของเจ้าเป็ดตัวดังกล่าวคือต้องพักการแสดงทุกๆรอบ เพื่อเอาอาหารและน้ำที่มันขย้อนเข้าไปออกจากท้องของมันเสียก่อน ปัจจุบันเป็ดตัวนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมในกรุงปารีสครับ
ตัวอื่นๆที่น่าสนใจก็มีกลุ่มตุ๊กตานักดนตรีของ ปิแอร์ จาร์เก็ต-ดรอส ซึ่งประกอบไปด้วยตุ๊กตากลเด็กผู้ชายเขียนหนังสือ ตุ๊กตากลเด็กผู้ชายวาดลายเส้น และตุ๊กตาเด็กผู้หญิงเล่นเปียโนอย่างละหนึ่งตัว ซึ่งตุ๊กตากลทั้งหมดอยู่ในท่านั่ง ลักษณะของการทำงานจะเริ่มสั่งงานจากกลไกที่ฐานของตุ๊กตา เชื่อไหมครับว่า เจ้าตุ๊กตาทั้งสามนี้สามารถทำงานที่ตั้งเอาไว้ล่วงหน้าได้จริงๆ คือลายเส้นและตัวหนังสือสามารถเขียนได้ตามที่กำหนดไว้ ส่วนแม่สาวนักเปียโนก็สามารถพรมนิ้วลงบนคีย์ได้เป็นเพลงอย่างไม่ผิดเพี้ยน สามารถส่ายหน้าไปมา กรอกดวงตาขึ้นลง บริเวณทรวงอกดูอวบอิ่ม.. เอ๊ย.. ไม่ใช่ บริเวณทรวงอกยุบเข้ายุบออกคล้ายกำลังหายใจ แถมเมื่อแสดงจบยังสามารถโค้งคำนับให้กับผู้ชมได้อีกด้วย
...ไม่เรียกตุ๊กตากลมหัศจรรย์ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรล่ะครับงานนี้ อ้อ... ตุ๊กตาทั้งสามปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ศิลป์ เมืองนูชาเทล ประเทศฝรั่งเศส สนใจก็ตามไปดูกันได้ครับ ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว
ในช่วงเดียวกันนี้ ประเทศญี่ปุ่นก็กำลังรุ่งเรืองทางด้านจักรกลเช่นเดียวกันครับ แม้ว่าศตวรรษที่ 18-19 ญี่ปุ่นจะปิดประเทศไม่สุงสิงกะใคร แต่เทคโนโลยีของพี่แกก็ไม่น้อยหน้าฝรั่งชาติไหนเหมือนกัน ประมาณ พ.ศ. 2273-2339 มีตำราการทำตุ๊กตากลเขียนโดย ฮันโซ โฮโซกาว่า เป็นตุ๊กตาเด็กรับใช้ถือถ้วยน้ำชา ตามหลักฐานที่มีกล่าวว่า ตุ๊กตาพวกนี้ทำด้วยไม้ และกลไกภายในประกอบด้วยซี่ล้อและเอ็นที่ทำจากเอ็นปลาวาฬ การทำงานของตุ๊กตาเหล่านี้คือเดินไปข้างหน้า เมื่อมีผู้วางถ้วยน้ำชาลงบนถาดที่มันถืออยู่ และหยุดเมื่อมีการยกถ้วยน้ำชาออก และหลังจากนั้นมันจะหันหลังกลับไปยังทิศทางที่มันเดินมาเมื่อมีการวางถ้วยน้ำชาลงอีกครั้งหนึ่ง (หมายถึงดื่มน้ำชาเสร็จแล้ววางถ้วยกลับที่เดิมครับ) ตำราการสร้างตุ๊กตาแบบนี้ใช้ชื่อว่า Karakuri Zui ขอรับท่าน...
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วนะครับว่า ช่วงสองศตวรรษก่อนจะถึงรุ่งอรุณแห่งศตวรรษที่ 20 นั้น หุ่นยนต์จะถูกสร้างในลักษณะของตุ๊กตากล โดยแต่ละชาติก็มีสไตล์ในการออกแบบและการสร้างตามแต่ภูมิปัญญาท้องถิ่นของตน ถึงจะเป็นคนละสไตล์แต่สิ่งหนึ่งที่สอดคล้องต้องกันก็คือ ความวิริยะและเวลาในการสร้างครับ การสร้างหุ่นตุ๊กตากลแต่ละตัวกินเวลาการสร้างที่ยาวนาน ต้องใช้ความอุตสาหะทุ่มเทกับมันมากๆ เรียกว่าพยายามทำจนสุดขีดจำกัดที่เทคโนโลยีในสมัยนั้นจะเอื้ออำนวยให้ คิดดูสิครับว่าภายในของตุ๊กตากลออกจะซับซ้อนปานนั้น บรรดากลไกภายในจะต้องได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับลักษณะการเคลื่อนไหวของขดลวด ซี่ล้อ สปริง สายพาน สลักโลหะ และชิ้นส่วนเล็กชิ้นส่วนน้อยนับเป็นร้อยๆชิ้น ตุ๊กตากลตัวนั้นถึงจะสามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจปรารถนาของผู้สร้าง คิดแล้วเหนื่อยหยอกอยู่เสียเมื่อไหร่กัน...
บรรดานักประดิษฐ์ตุ๊กตากลเหล่านี้ มีความคิดสรางสรรค์ มีความอุตสาหพยายามเป็นที่น่ายกย่องสำหรับคนรุ่นหลังอย่างพวกเรานะครับ เนื่องจากพวกเขาต้องทุ่มเททั้งความคิดสร้างสรรค์ ความพยายามบวกเวลานับแรมปีกว่าจะได้ตุ๊กตากลขึ้นมาสักตัว จึงนับได้ว่าตุ๊กตากลเหล่านี้เป็นทั้งนวัตกรรมแห่งความทุ่มเท และเป็นผลงานทางศิลปที่น่าโค้งคารวะให้โดยแท้
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วนะครับว่า ช่วงสองศตวรรษก่อนจะถึงรุ่งอรุณแห่งศตวรรษที่ 20 นั้น หุ่นยนต์จะถูกสร้างในลักษณะของตุ๊กตากล โดยแต่ละชาติก็มีสไตล์ในการออกแบบและการสร้างตามแต่ภูมิปัญญาท้องถิ่นของตน ถึงจะเป็นคนละสไตล์แต่สิ่งหนึ่งที่สอดคล้องต้องกันก็คือ ความวิริยะและเวลาในการสร้างครับ การสร้างหุ่นตุ๊กตากลแต่ละตัวกินเวลาการสร้างที่ยาวนาน ต้องใช้ความอุตสาหะทุ่มเทกับมันมากๆ เรียกว่าพยายามทำจนสุดขีดจำกัดที่เทคโนโลยีในสมัยนั้นจะเอื้ออำนวยให้ คิดดูสิครับว่าภายในของตุ๊กตากลออกจะซับซ้อนปานนั้น บรรดากลไกภายในจะต้องได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับลักษณะการเคลื่อนไหวของขดลวด ซี่ล้อ สปริง สายพาน สลักโลหะ และชิ้นส่วนเล็กชิ้นส่วนน้อยนับเป็นร้อยๆชิ้น ตุ๊กตากลตัวนั้นถึงจะสามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจปรารถนาของผู้สร้าง คิดแล้วเหนื่อยหยอกอยู่เสียเมื่อไหร่กัน...
บรรดานักประดิษฐ์ตุ๊กตากลเหล่านี้ มีความคิดสรางสรรค์ มีความอุตสาหพยายามเป็นที่น่ายกย่องสำหรับคนรุ่นหลังอย่างพวกเรานะครับ เนื่องจากพวกเขาต้องทุ่มเททั้งความคิดสร้างสรรค์ ความพยายามบวกเวลานับแรมปีกว่าจะได้ตุ๊กตากลขึ้นมาสักตัว จึงนับได้ว่าตุ๊กตากลเหล่านี้เป็นทั้งนวัตกรรมแห่งความทุ่มเท และเป็นผลงานทางศิลปที่น่าโค้งคารวะให้โดยแท้
ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆครับ ^^
ตอบลบขอบคุณสำหรับบทความดี ๆครับ ^^
ตอบลบ